ไม่พบผลการค้นหา
เกาหลีเหนือพัฒนาศักยภาพอาวุธนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง แต่ความคืบหน้าล่าสุดพบว่าเกาหลีเหนือได้เริ่มค้าขีปนาวุธในตลาดมืดระหว่างประเทศมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

เจ้าหน้าที่ตำรวจออสเตรเลียจับกุมนายชาน ชเว-ฮัน ชาวออสเตรเลียซึ่งเกิดที่เกาหลีใต้ วัย 59 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ในนครซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลีย เมื่อวานนี้ (15 ธันวาคม) ตามเวลาท้องถิ่นออสเตรเลีย ในฐานะผู้ต้องสงสัยเป็นนายหน้าค้าอาวุธให้แก่รัฐบาลเกาหลีเหนือ และเขาถูกตั้งข้อหาฝ่าฝืนมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศที่ห้ามขายอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง หรือ WMD ซึ่งทั้งสองข้อหามีบทลงโทษจำคุกสูงสุดตั้งแต่ 8 ถึง 10 ปี

ด้านนายมัลคอล์ม เทิร์นบูล นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แถลงประณามรัฐบาลเกาหลีเหนือช่วงเช้าวันนี้ (16 ธันวาคม) โดยระบุว่าเป็นประเทศที่อันตรายและไม่อยู่กับร่องกับรอย ขณะที่การจับกุมนายชานบ่งชี้ชัดเจนว่าเกาหลีเหนือฝ่าฝืนมติสหประชาชาติ และหารายได้ด้วยการค้าอาวุธ ทั้งยังเสนอขายถ่านหินจากเหมืองในเกาหลีเหนือซึ่งขึ้นชื่อว่ามีการบังคับใช้แรงงานเยี่ยงทาสและละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงสนับสนุนการโจมตีทางไซเบอร์เพื่อหาผลประโยชน์ให้แก่รัฐบาลเกาหลีเหนือด้วย

เจ้าหน้าที่ตำรวจออสเตรเลียระบุเพิ่มเติมว่าการสอบสวนคดีดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลังจากได้รับเบาะแสจากหน่วยงานรัฐบาลต่างประเทศ และพบหลักฐานบ่งชี้ว่า นายชานติดต่อกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีเหนือมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว ถือเป็นนายหน้าที่มีความจงรักภักดีต่อเกาหลีเหนือ ส่วนผู้สนใจซื้อถ่านหินจากเกาหลีเหนืออยู่ในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย แต่ไม่อาจระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นกลุ่มหรือองค์กรใด

000_UN0H1.jpg

ที่ผ่านมา รัฐบาลเกาหลีเหนือถูกคว่ำบาตรเพราะฝ่าฝืนมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ซึ่งสั่งห้ามทดลองโครงการขีปนาวุธและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และนายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ ไม่สนใจคำสั่งห้ามดังกล่าว และเดินหน้าพัฒนาศักยภาพนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่องโดยไม่สนใจมาตรการคว่ำบาตร จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้ประสบความสำเร็จในการทดสอบยิงขีปนาวุธ 'ฮวาซง-15' ซึ่งเป็นขีปนาวุธข้ามทวีป และคาดว่าจะสามารถยิงได้ไกลถึงสหรัฐฯ 

นักวิเคราะห์จำนวนมากประเมินว่าเกาหลีเหนือพยายามจะพัฒนาศักยภาพนิวเคลียร์เพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการเจรจาตามกรอบภาคี 6 ประเทศ ซึ่งมีประเทศคู่เจรจาหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ รัสเซีย จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นแกนนำการเจรจามีการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย เพราะนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน มีท่าทีแข็งกร้าวและมักประกาศบ่อยๆ ว่าจะไม่เจรจากับเกาหลีเหนือ และพร้อมจะกำจัดเกาหลีเหนือในกรณีที่จำเป็น

ท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ ทำให้นายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ ขู่ว่าจะโจมตีสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรด้วยขีปนาวุธข้ามทวีปทุกเมื่อ ส่งผลให้สถานการณ์ในคาบสมุทรทวีความตึงเครียด และรัฐบาลญี่ปุ่นเองก็ประกาศยกระดับการพัฒนาศักยภาพทางทหารของกองกำลังป้องกันตนเองภายในปีนี้และปีงบประมาณ 2018 เพื่อเตรียมรับมือกับภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือเช่นกัน ขณะที่รัฐบาลจีนและเกาหลีใต้ยังสนับสนุนให้ใช้การเจรจาต่อรองเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาค แต่ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก ส่วนรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่งส่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านเกาหลีเหนือมาเจรจากับรัฐบาลญี่ปุ่นและไทยให้ช่วยกดดันเกาหลีเหนือด้านเศรษฐกิจอีกแรงหนึ่งด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ไทยย้ำสหรัฐฯ ลดระดับการค้า-ตัดวีซ่าเกาหลีเหนือ

ญี่ปุ่นย้ำ เกาหลีเหนือต้องปลดอาวุธนิวเคลียร์ก่อนเจรจา

ยูเอ็นขึ้นบัญชีดำเพิ่มบุคคล-องค์กรพัวพันเกาหลีเหนือ