วันที่ 24 ธ.ค.60 “แซนด์” น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ คณะทำงานด้านต่างประเทศพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของนางเยาวเรศ ชินวัตร และเป็นหลานสาวของนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวชื่อ Sand Wongnapachant แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการปลดล็อกทางการเมือง โดยระบุข้อความดังนี้
“เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกมายอมรับว่า ภาคเอกชนขาดความเชื่อมั่น ลงทุนในประเทศน้อย แต่กลับไปลงทุนในต่างประเทศมาก จึงอยากให้เอกชนเร่งกลับมาลงทุนในไทย เพราะเกรงจะเสียโอกาสทางเศรษฐกิจที่เป็นขาขึ้นได้นั้น
ในข้อเท็จจริงการที่รัฐบาลจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับเอกชนไทยและต่างประเทศนั้นง่ายนิดเดียว คือยกเลิกคำสั่งตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 57/2557 ที่ห้ามพรรคการเมืองดำเนินกิจการทางการเมือง แทนการใช้อำนาจมาตรา 44 พร่ำเพรื่อ ตามคำสั่ง คสช. ฉบับล่าสุดที่ 53/2560 เพื่อดำเนินการตามข้อกำหนดต่างๆใน พ.ร.ป.พรรคการเมือง ซึ่งไม่ต่างอะไรกลับการ “ซื้อเวลา” ที่เสมือนว่าต้องการสร้างแต้มต่อให้กับพรรคการเมืองใหม่ ขณะเดียวกันก็มุ่งล้างหน้าตักสมาชิกเดิมของพรรคการเมืองเดิมในคราวเดียวกัน นอกจากนี้จากการใช้อำนาจ มาตรา 44 ดังกล่าว ยังสร้างความกังวลให้กับสังคมในวงกว้างถึง ความจริงใจของรัฐบาล ในการที่จะดำเนินการตามโร้ดแม็บที่เคยประกาศไว้
ท้ายที่สุด รัฐบาลกลับกลายเป็นผู้สร้างบรรยากาศที่อึมครึม มองไม่เห็นความชัดเจนในอนาคตทางการเมืองและประชาธิปไตยของประเทศ จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถพูดถึงกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจนได้ ส่งผลให้ภาคเอกชนยังคงมีความไม่มั่นใจในการลงทุน และเมื่อเอกชนไม่ลงทุน การสร้างงานก็ไม่เกิด และเมื่อการสร้างงานไม่เกิด ผลกระทบจึงเกิดกับประชาชนโดยตรง กลายเป็น รายได้ไม่เพิ่ม
แต่รายจ่ายกลับมากขึ้น ซึ่งก็ทำให้ประชาชนเองก็ไม่มีเงินใช้และไม่กล้าใช้เงิน ส่งผลกระทบให้ไม่เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจดังนั้นสิ่งที่ภาคเอกชน นักธุรกิจและนักลงทุน รอคอยในวันนี้ คือความชัดเจนทางจากรัฐบาล เมื่อเกิดความชัดเจน ความเชื่อมั่นก็จะตามมา หน้าที่ของรัฐบาลจึงควรสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน ได้มองเห็นอนาคตที่ชัดเจน ซึ่งตัวเลขทางเศรษฐกิจก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “ความเชื่อมั่น” ของภาคเอกชน ไม่ได้เกิดจาก “ความมั่นคง” แต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากตัวเลขต่างๆ ดังนี้
1.รายงานธนาคารโลกระบุ ว่าในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา งบลงทุนจากเอกชนไทยไหลออกนอกประเทศกว่า 800,000 ล้านบาทแล้ว แต่กลับไม่มีการลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
2.ในปี 2555 หรือช่วงรัฐบาลที่มาจากประชาชน การลงทุนภาคเอกชนเคยสูงถึง 14.4% ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนในปี 2560 มีเพียง 2.9%
3.ตัวเลขเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ จากธนาคารแห่งประเทศไทย ในปี 2560 เพิ่มสูงมากกว่าสองแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าไทยไม่มีการนำเข้าที่เป็นการลงทุนเครื่องมือทันสมัยจากต่างประเทศ ไม่เกิดการลงทุนใหม่
เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเป็นสาเหตุสำคัญของการขาดความเชื่อมั่น ทำให้ภาคเอกชนไม่กล้าลงทุน ส่งผลให้ ไม่เกิดการสร้างงานให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่ และเมื่อประชาชนไม่มีงาน ก็ไม่มีรายได้ มีแต่เพียงรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น ประเทศก็ตกอยู่ในภาวะเงินฝืด รวยกระจุกจนกระจาย ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ ไม่มีเงินในกระเป๋า สะท้อนให้เห็นปัญหาเศรษฐกิจปากท้องที่จมลึกลงไปเรื่อยๆ
จึงขอเสนอให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบกระทรวงเศรษฐกิจได้พูดคุยกับหัวหน้ารัฐบาลให้เข้าใจว่าการยกเลิกคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 57/2557 เพื่อปลดล็อกการดำเนินกิจการทางการเมืองในคราวเดียวพร้อมกำหนดวันเลือกตั้งให้ชัดเจน จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจเอกชน และประชาชนได้มองเห็นอนาคต ไม่ใช่ติดกับอยู่ในวังวนเดิมๆ แบบนี้”