ไม่พบผลการค้นหา
ก.แรงงาน ยังไม่จัดซื้อ"เครื่องสแกนม่านตา" แต่ยืนยันมีความจำเป็นที่จะต้องเสริมเครื่องสแกนม่านตา เพื่อภารกิจในการพิสูจน์อัตลักษณ์แรงงานต่างด้าว

หลังกรณีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีใช้ม.44 ย้ายด่วน นายวรานนท์ ปีติวรรณ พ้นจากอธิบดีกรมการจัดหางาน และให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงแรงงาน และให้ นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ พ้นจาก รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็น อธิบดีกรมการจัดหางาน แทน

กระทั่ง พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล อดีตรมว.แรงงานต้องยื่นใบลาออกตาม ซึ่งข่าวหลายกระแส ระบุสาเหตุที่ต้องใช้ม.44 ย้ายด่วนอธิบดีมาจากการจัดซื้อเครื่องสแกนม่านตาล่าช้านั้น 

วันนี้ (12 พ.ย. 60 )นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์โครงการจัดซื้อเครื่องสแกนม่านตา เพื่อพิสูจน์อัตลักษณ์แรงงานต่างด้าว ของกระทรวงแรงงาน ว่า ขณะนี้ยืนยันยังไม่มีการจัดซื้อเครื่องสแกนม่านตาแต่อย่างใด ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)มีความคิดเห็นตรงกันว่า มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมเครื่องสแกนม่านตา เพื่อภารกิจในการพิสูจน์อัตลักษณ์แรงงานต่างด้าวของกระทรวงแรงงาน เนื่องจากปัจจุบันมีใช้อยู่เพียง 30 เครื่องใน 22 จังหวัด โดยเป็นเครื่องที่ยืมมาจากทางกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เพื่อใช้ในการขึ้นทะเบียนแรงงานประมง ขณะเดียวกันราคาต่อเครื่องซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1 แสนบาทนั้น ยืนยันว่าเป็นราคามาตรฐานอยู่แล้ว

ทั้งนี้ รายละเอียดการจัดซื้อยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาการเก็บข้อมูลพิสูจน์ตัวบุคคลของแรงงานต่างด้าวที่คสช.ตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจะมีการพิจารณาใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพคุ้มค่ามากที่สุด เพราะหากประเมินมูลค่าการเก็บข้อมูลม่านตา ที่แม่นยำกว่าการตรวจสอบข้อมูลด้วยลายนิ้วมือถึง 100 เท่า หรือใบหน้า 10 เท่า ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุน

ทั้งนี้เครื่องสแกนม่านตาของกรมเจ้าท่า ที่กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานยืมมาใช้นั้น มีเพียง 30 เครื่อง แต่ชำรุดไป 3 เครื่อง อาจจะเพียงพอเฉพาะการพิสูจน์อัตลักษณ์แรงงานประมง 7 หมื่นคน ที่ต้องแล้วเสร็จในเดือน มี.ค.2561 เพื่อเร่งแก้ปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย โดยขณะนี้ดำเนินการไปแล้วกว่า 3 หมื่นราย

 ขณะที่กรมการจัดหางานยังมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบแรงงานต่างด้าวทั่วประเทศอีกมากกว่า 2 ล้านคน ที่ต้องพิสูจน์อัตตลักษณ์ให้แล้วเสร็จในคราวเดียวกัน ฉะนั้นการวางระบบพิสูจน์อัตลักษณ์ของแรงงานจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก และได้รับการยอมรับใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลกด้วย