ไม่พบผลการค้นหา
ไฟป่าซึ่งถูกระบุว่า 'ร้ายแรงที่สุด' ในรอบเกือบ 30 ปีของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เกิดจากหลายสาเหตุ แต่ ปธน.สหรัฐฯ ระบุว่าไฟป่าเกิดถี่ขึ้น เพราะนโยบายจัดการป่าที่แย่ของรัฐบาลชุดก่อนหน้า

ไฟป่าที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน 16 จุดใน 3 พื้นที่ของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 8, 9 และ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา ทำให้เกิดความเสียหายต่อทั้งพื้นที่ป่าและที่อยู่อาศัยของประชาชนรวมเป็นจำนวนกว่า 108,000 เอเคอร์ หรือ ประมาณ 2.73 แสนไร่ ทั้งยังมีผู้เสียชีวิตที่พบศพแล้ว 31 ราย และยังมีผู้สูญหายอีกนับร้อยคน ถือเป็นไฟป่าที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในแคลิฟอร์เนียนับตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา 

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นของสหรัฐฯ รายงานว่า ไฟป่าบริเวณแคมป์ไฟร์ ทางเหนือของแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา เป็นไฟที่สร้างความเสียหายร้ายแรงและลุกลามอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบ 27 ปี โดยประเมินว่าไฟป่าครั้งนี้เผาไหม้พื้นที่ขนาดเท่ากับสนามฟุตบอลมาตรฐานไปถึง 80 สนามในเวลาเพียง 1 นาที และถึงแม้ว่าไฟป่าแคมป์ไฟร์จะควบคุมได้ใน 14 ชั่วโมงต่อมา แต่ก็มีไฟป่าเกิดขึ้นเพิ่มเติมอีก 2 แห่งในวันที่ 9 และ 11 พ.ย. ได้แก่ ไฟป่าวูลซีย์และฮิลไฟร์ในเขตเวนทูร่าและลอสแอนเจลิส ทางใต้ของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย

สาเหตุหลักที่ทำให้ไฟป่าครั้งนี้ร้ายแรง (1) เกิดจากกระแสลมความเร็วกว่า 40-70 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งมีความชื้นต่ำ พัดพาให้ไฟป่าลุกลามไปอย่างรวดเร็ว และ (2) ภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาลดหลั่นต่างระดับ ทำให้หน่วยดับเพลิงไม่สามารถนำรถดับเพลิงหรืออุปกรณ์ดับเพลิงเข้าไปยังพื้นที่ต้นเพลิงได้ ต้องใช้วิธีเดินเท้า ทำให้การควบคุมเพลิงช้าลง ประกอบกับ (3) สภาพอากาศแห้งแล้งเพราะฝนไม่ตกเป็นเวลานาน สืบเนื่องจากปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ไฟป่าที่เกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนียมีความถี่เพิ่มขึ้นและรุนแรงเพิ่มขึ้น

แม้ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะทวีตข้อความให้กำลังใจเจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงและเจ้าหน้าที่ป้องกันไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย พร้อมย้ำเตือนให้ประชาชนปฏิบัติตามคำสั่งอพยพของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แต่เขาก็ระบุในทวิตเตอร์ด้วยว่า ไฟป่าในแคลิฟอร์เนียนั้นสามารถป้องกันได้ ถ้าใช้มาตรการบริหารจัดการป่าที่ดีกว่านี้


Reuters-ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย2018

แอลเอไทม์ส สื่อท้องถิ่นในแคลิฟอร์เนีย รายงานว่า เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ทรัมป์เคยทวีตข้อความพาดพิงว่าไฟป่าในแคลิฟอร์เนียเกิดบ่อยขึ้นและร้ายแรงขึ้น เป็นผลจากนโยบายบริหารจัดการป่าของอดีตรัฐบาลประธานาธิบดีบารัก โอบามา ซึ่งห้ามตัดต้นไม้ในพื้นที่ป่า ไม่เว้นแม้แต่ต้นไม้แห้งหรือซากต้นไม้ต่างๆ ทั้งยังออกคำสั่งให้ลดปริมาณการสัมปทานน้ำ และทรัมป์ยังได้ระบุถึงนโยบายจัดการป่าในข้อความล่าสุดเมื่อ 11 พ.ย.ด้วยว่าถ้าเจ้าหน้าที่รัฐทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ก็สมควรถูกตัดงบที่จัดสรรให้ไปกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี 

'ไบรอัน ไรซ์' หัวหน้าสำนักงานดับเพลิงแคลิฟอร์เนีย ออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาของทรัมป์ว่า "คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง" หลายประเด็น โดยไรซ์ย้ำว่า ไฟป่า 'แคมป์ไฟร์' ซึ่งเผาทำลายพื้นที่ป่ากว่า 90,000 เอเคอร์ หรือราว 2.7 แสนไร่ เป็นไฟป่าที่เกิดในเขตที่ราบและทุ่งหญ้า ส่วนไฟป่าวูลซีย์ก็ไม่ได้มีต้นเพลิงจากในเขตป่า และการสัมปทานน้ำลดลงก็ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำแต่อย่างใด แต่เขาย้ำว่า การเกิดไฟป่ารุนแรงขึ้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงทั่วโลก และการที่ประชาชนกำลังเดือดร้อน แต่กลับถูกทำให้เป็นประเด็นทางการเมือง เป็นเรื่องที่ไม่ถูกกาลเทศะอย่างยิ่ง

นอกเหนือจากไรซ์แล้ว 'นีล ยัง' นักร้องนักแต่งเพลงชื่อดังในยุค 60 ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้เสียหาย ที่พักถูกทำลายเพราะไฟป่าครั้งนี้ ก็ได้ออกมาตำหนิท่าทีของทรัมป์เช่นกัน โดยเดอะการ์เดียนรายงานอ้างอิงถ้อยแถลงของนีล ยังในเว็บไซต์ส่วนตัว ระบุว่า "เรามีผู้นำที่ปฏิเสธวิทยาศาสตร์" ไม่ยอมรับว่าปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง คนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้เหมาะสมกับที่จะเป็นผู้นำจริงหรือไม่ 

ส่วนคนดังอื่นๆ ที่บ้านเรือนถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายจากไฟป่าครั้งนี้ มีทั้งเจอร์ราด บัทเลอร์, ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก และสามี, เลดี กาก้า, ไมลีย์ ไซรัสและเลียม เฮมสเวิร์ธ คู่หมั้น รวมถึงคิม คาร์แดเชียน และคานเย เวสต์ แต่ทั้งหมดอพยพออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: