ในการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติเมื่อวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ ไทยเป็นหนึ่งใน 128 ประเทศที่ลงมติสนับสนุนมติของที่ประชุม ที่ให้คำประกาศรับรองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงอิสราเอลของสหรัฐฯ เป็นโมฆะและไม่มีผลทางกฎหมาย ขณะที่มี 9 ประเทศลงมติต่อต้าน ได้แก่อิสราเอล กัวเตมาลา ฮอนดูรัส หมู่เกาะมาร์แชล ไมโครนีเซีย นาอูรู ปาเลา โตโก และสหรัฐฯ ส่วนอีก 35 ประเทศงดออกเสียง รวมถึงแคนาดา ออสเตรเลีย และเม็กซิโก และอีก 21 ประเทศไม่ได้ลงคะแนน
ท่าทีดังกล่าวของไทยสอดคล้องกับจุดยืนของรัฐบาลในการรับรองความเป็นรัฐชาติของปาเลสไตน์ รับรองกรุงเทลอาวีฟเป็นเมืองหลวงอิสราเอล และยังคงให้สถานทูตไทยตั้งอยู่ที่กรุงเทลอาวีฟ รวมถึงต้องการให้มีการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์บนหลักการของการอยู่ร่วมกันระหว่างสองรัฐชาติ
นอกจากนี้ ไทยยังยืนอยู่ข้างเดียวกับเสียงส่วนใหญ่ของมหาอำนาจโลก เนื่องจากสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ หรือ UNSC 4 ประเทศ ได้แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน ต่างหนุนมติของสหประชาชาติครั้งนี้ รวมถึงชาติที่เคยเป็นพันธมิตรหลักของสหรัฐฯอย่างซาอุดีอาระเบีย จอร์แดน อียิปต์ และอิรัก
ก่อนหน้าการลงมติครั้งสำคัญนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศจะตัดความช่วยเหลือทางการทหารแก่ประเทศที่ลงมติคัดค้านจุดยืนของสหรัฐฯกรณีเยรูซาเลม แต่ก็ไม่เป็นผล เห็นได้ชัดว่ามีเพียงชาติเล็กๆไม่กี่ชาติเท่านั้นที่หวั่นเกรงคำขู่นี้ แต่หลายชาติที่รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง เช่นอิรัก กลับยืนยันที่จะไม่เห็นด้วยกับกรณีดังกล่าว
หลังการลงมติ นิกกี เฮลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ แถลงว่าสหรัฐฯจะจดจำเอาไว้ว่าวันนี้เป็นวันที่สหรัฐฯถูกสมัชชาใหญ่สหประชาชาติโจมตี เพียงเพราะใช้สิทธิ์ของตนเองในฐานะรัฐอธิปไตย และจะจำเอาไว้ ในวันที่สหรัฐฯถูกเรียกร้องให้จ่ายเงินให้สหประชาชาติมากกว่าประเทศใดๆในโลก รวมถึงถูกร้องขอความช่วยเหลือจากประเทศอื่นๆ ที่ต้องการใช้อำนาจของสหรัฐฯเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
นอกจากนี้ เฮลีย์ยังส่งเทียบเชิญผู้แทน 64 ประเทศที่โหวตคัดค้าน งดออกเสียง หรือไม่ลงคะแนนสนับสนุนมติสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ให้ไปร่วมงานเลี้ยงขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่มีให้แก่สหรัฐฯ ในวันที่ 3 มกราคมนี้ด้วย
การรับรองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลโดยสหรัฐฯ เป็นความเคลื่อนไหวที่สร้างความปั่นป่วนให้กับตะวันออกกลางอย่างหนัก เนื่องจากทั้งอิสราเอลและปาเลสไตน์ต่างอ้างสิทธิ์เหนือนครศักดิ์สิทธิ์นี้ ในฐานะเมืองหลวงของตนเอง ที่ผ่านมา สหรัฐฯไม่ยอมรับรองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงอิสราเอล และไม่ยอมย้ายสถานทูตสหรัฐฯจากกรุงเทลอาวีฟไปยังเยรูซาเลม เพื่อธำรงจุดยืนสนับสนุนการคงอยู่อย่างสันติร่วมกันระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอล แต่นายทรัมป์กลับยืนยันว่าการย้ายสถานทูตไปยังเยรูซาเลม และมีจุดยืนชัดเจนในเรื่องนี้ จะทำให้ความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯและพันธมิตรกระชับมั่นคงขึ้น