ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายอีกต่อไป เริ่มจาก “บิ๊กป้อม” ไต๋หลุดปม “นายกฯ สำรอง” ขึ้นมา หลังถูกถามถึงการหาคนรองรับ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หากถูกอุบัติเหตุวาระนายกฯครบ 8 ปี ที่ฝ่ายค้านจ่อยื่นศาล รธน. ตีความ แต่ในฝั่ง “บิ๊กตู่” ก็เชื่อว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี

แน่นอนว่าทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องคุยกับ พล.อ.ประวิตร ทันทีช่วงประชุม ครม. ทำให้ พล.อ.ประวิตร ออกมาโวยสื่อ “มีที่ไหน ฉันบอกว่ายังไม่รู้ ยังไม่ถึงเวลา โอ้ ไม่เข้าใจเลย มีที่ไหน ใครล่ะ เป็นนายกฯสำรอง พูดไปเรื่อย” ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ออกมาชี้แจงว่า “ท่านไม่ได้พูดแบบนั้น”

เหมือนจะจบ แต่ไม่จบงานนี้ หลัง “บิ๊กน้อย”พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หน.พรรคเศรษฐกิจไทย ออกมายอมรับทาบทาม “ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” อดีตขุนคลัง รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ มาร่วมทีมเศรษฐกิจของพรรค ตามมาด้วย “อดุลย์ เขียวบริบูรณ์”ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ออกมาเสนอดัน พล.อ.ประวิตร ขึ้นเป็น “นายกฯขัดตาทัพ” ชนิดที่ “ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย” หวังเป็นบันไดให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลงจากอำนาจ ไม่ต้องกังวลโดน “เช็คบิลย้อนหลัง” 

พร้อมเสนอโมเดล “สภาที่ 3” ขึ้นมา ชวนพรรคเศรษฐกิจไทย ร่วมหาทางออกวิกฤตของประเทศด้วย หากมองให้ลึกลงไปทั้ง “ธีระชัย-อดุลย์” ต่างก็รู้จักมักคุ้นกันมาในสนามการเมือง

ทั้งนี้ถูกสำทับด้วยปรากฏการณ์ “ไทยไม่ทนรีเทิร์น” นำโดย “ตู่”จตุพร พรหมพันธุ์” ประธาน นปช. กับ “ทนายนกเขา”นิติธร ล้ำเหลือ “พิชิต ไชยมงคล” แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) ที่มาตั้งโต๊ะร่วมหารือ ยังคงชูแนวคิด “ปรองดอง สลายสีเสื้อ” แต่สิ่งที่น่าใจ “จตุพร” ย้ำถึงความสามัคคีของคนในชาติสำคัญสุด เพราะ พล.อ.ประยุทธ์อีกไม่นาน ก็คงต้องลงจากตำแหน่ง ที่สุดท้ายเรื่องการขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ กลายเป็น “เรื่องรอง” ลงมา 

ผิดกับท่าที “กลุ่มไทยไม่ทน” เมื่อกลางปี 2564 ที่ขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ชัดเจน อีกด้านก็ถูกมองถึง “จังหวะ” ที่กลุ่มไทยไม่ทนกลับมาครั้งนี้ มาพร้อมๆกับการขยับ “อดุลย์” ซึ่งก็เคยขึ้นเวทีไทยไม่ทนมาด้วย โดย “ทนายนกเขา” วางแผนนำร่องจัดเวทีสาธารณะ 10 พ.ค.นี้ ที่ หอศิลป์ กทม. ในแคมเปญ “ขจัดภัยการกดขี่ สามัคคีทั้งแผ่นดิน” ที่เชิญกลุ่มของ “ตู่-จตุพร” มาร่วมด้วย

แน่นอนว่า “การเมืองภาคมวลชน” นี้เป็นอีกขาในการมา “กดดัน-บีบ” พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งสอดรับแนวทาง “สภาที่ 3” ของ “อดุลย์” ที่มาต่อรอง ส.ส. และ ส.ว. ในสภา ในการปูทาง พล.อ.ประวิตร ขึ้นเป็น “นายกฯ ขัดตาทัพ” ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กำลังต้องเผชิญกับ “ศึกในสภา-นอกสภา” ไปพร้อมกัน อีกทั้งท่าทีของ “น้องเลิฟ” ของ พล.อ.ประวิตร ก็ออกตัวชัดเจน ทั่ง “บิ๊กน้อย” กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา เลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย สนับสนับสนุน พล.อ.ประวิตร เป็น นายกฯ

"ผมไม่ได้มองใคร ผมมองแค่ พล.อ.ประวิตร เพราะท่านมีความเหมาะสม ที่สามารถจะช่วยประเทศได้ในเวลานี้ เพราะท่านทำงานมาตลอด ก็น่าจะรู้ดีว่าทำอย่างไร” พล.อ.วิชญ์ กล่าว

“อยู่ที่ตัว พล.อ.ประวิตร หากถามว่าสามารถเป็นนายกฯ ได้หรือไม่ ความจริงท่านก็เป็นได้ตลอดเวลา แต่ทุกอย่างอยู่ที่ตัวท่าน” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว

ศึกสายเลือด จปร. ภาคใหม่ กำลังเริ่มขึ้น หลัง ร.อ.ธรรมนัส ทิ้งบอมบ์ให้ระวัง “มือที่มองไม่เห็น” รวมทั้งการเล่นเกม “ซ่อนมีด” ไว้ข้างหลัง และชี้ช่องหากเกิด “อุบัติเหตุการเมือง” ให้ใช้ รธน. มาตรา 272 วรรค 2 เปิดทาง “นายกฯคนนอก” ขึ้นมา รวมทั้งมีท่าทีสนับสนุนแนวทาง “ อดุลย์” ในการเปิดสภาที่ 3 โดยเชื่อว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดี

“ตอนนี้ต้องพูดว่า มือที่มองไม่เห็นมันเยอะ สภาฯยังไม่เปิดก็ยังไม่รู้ และเดี๋ยวสภาฯเปิดก็จะรู้ เพราะตอนนี้ทุกคนต่างซ่อนมีดไว้ข้างหลังตัวเองหมด จึงยังไม่รู้อะไรเป็นอะไร” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว

สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่าง “พี่ป้อม-น้องตู่” นับวันใกล้แตกหักมากขึ้น บรรดาคนรอบกาย “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กป้อม” ก็ต่างเป็น “ศัตรูกันเอง” ไปด้วย หวังดันให้ “นาย” อยู่ในอำนาจหรือได้มีอำนาจขึ้นมา

สถานการณ์เช่นนี้อาจนำไปสู่การ “พลิกขั้วทางการเมือง” ท่ามกลางความหวาดระแวงกันและกัน

เรียกได้ว่า พล.อ.ประวิตร ถือ “เกมเหนือ” กว่า พล.อ.ประยุทธ์ เข้าสำนวนที่ว่า “หนามยอกเอาหนามบ่ม” เมื่อจะทลายแผงอำนาจ “3ป.” ก็ต้องมาจาก “3ป.” ด้วยกัน ผ่านศึกสายเลือด จปร. ที่อ่าน “ตำรารบ” เล่มเดียวกันมา ปูทางก่อนครบรอบ 30 ปี เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ที่เคยมีศึกสายเลือด จปร.5 กับ จปร.7 มาแล้ว

หรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย !!!