วันที่ 22 กันยายน ที่ห้องแถลงข่าวรัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คู่ชีวิต และสมรสเท่าเทียม ร่วมแถลงถึงความคืบหน้าของการพิจารณาร่างกฎหมายทั้งสองฉบับในชั้นกรรมาธิการ นำโดย ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ชานันท์ ยอดหงษ์ และแทนคุณ จิตต์อิสระ โฆษก กมธ.
ชานันท์ กล่าวว่า ขณะนี้ กมธ. ได้พิจารณาร่างกฎหมายเสร็จสิ้นทั้งสองฉบับแล้ว และมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า จะผลักดันให้ที่ประชุมสภาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต และร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมทั้ง โดยจะไม่มีการปัดตกร่างใดร่างหนึ่ง ทั้งนี้จะมีการประชุม กมธ.อีกครั้งในวันที่ 2 พ.ย. 2565 เพื่อทำรายงานเสนอต่อประธานสภาฯ เพื่อให้บรรจุเข้าสู่วาระการประชุมวาระที่ 2 ในเดือนพฤศจิกายนต่อไป
ด้าน ธัญวัจน์ ในฐานะรองประธาน กมธ. กล่าวว่า ในการพิจารณาในชั้น กมธ.นั้น ตนได้สงวนความเห็นไว้ จึงขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองทุกพรรคโหวตตามคำสงวนของตน เพื่อให้สิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศเสมอภาคกับชาย และหญิง รวมถึงอยากให้ทุกคนจับตาดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นในสภา เพราะมี ส.ส.ท่านหนึ่งจากพรรคการเมืองหนึ่งที่สงวนความเห็นคัดค้าน พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ทุกมาตรา แม้จะเป็นสิทธิของกมธ. แต่เมื่อกฎหมายผ่านการพิจารณาในวาระหนึ่งแล้ว มีสิทธิหรือไม่ที่จะมาคัดค้านร่างดังกล่าว
ธัญวัจน์ กล่าวอีกว่า ไม่อยากมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนรออยู่ หาก ส.ส. คนดังกล่าวใช้การสงวนความเห็นเพื่อตัดร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมทุกมาตรานั้น ก็เป็นสิ่งที่ประชาชนจะสามารถวิพากษ์วิจารณ์การทำงานในฐานะสภาผู้แทนราษฎร
“ในฐานะฝ่ายค้านพวกเราทำหน้าที่ และในฐานะรัฐบาลพวกท่านทำหน้าที่ ในฐานะสมาชิกวุฒิสภาพวกท่านก็ทำหน้าที่ ในฐานะ กมธ.พวกเราก็ทำหน้าที่ เราเห็นข้อโต้แย้งต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นในสภาชุดนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ประชาชนรอคอยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งและความเห็นต่างทางการเมือง คือประชาชนต้องการเห็นความรักเกิดขึ้นในสมัยนี้” ธัญวัจน์ กล่าว
ขณะ แทนคุณ จิตต์อิสระ ในฐานะโฆษก กมธ. กล่าวว่า อยากขอความร่วมมือประชาชนให้สื่อสารไปยัง ส.ส.ในพื้นที่ให้สนับสนุนร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ร่ เนื่องจากเป็นหัวใจสำคัญที่จะยกระดับสิทธิ เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน และสิทธิพลเมือง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ประเทศจะต้องขับเคลื่อน และในส่วนกฎหมายที่จะเกิดขึ้นตนมองว่าเป็นภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะหลายประเทศในขณะนี้ต่างก็กำลังจับตามองการทำงานของสภาอยู่
แทนคุณ กล่าวต่อว่า หากร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับนี้ผ่านก็จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าประเทศไทยได้คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพในระดับสากล อีกทั้งการประชุมเอเปคที่กำลังจะเกิดขึ้น ตนอยากให้การทำงานของ กมธ.ชุดนี้เปรียบเหมือนสังคมที่มีความหลากหลาย แม้ว่าหลายครั้งที่เราได้ฟังจากผู้แทนใน กมธ.จะมีความกังวล แต่เราได้มีการทลายข้อจำกัดในเรื่องความคิดของกฎหมายเก่าอยู่ ที่เหลือก็จะเป็นการทำงานในภาคสังคมที่จะต้องช่วยกันสนับสนุนในการทำงานของเราต่อไป