ไม่พบผลการค้นหา
พิธา' เมินขบวนการสกัดขาเข้าทำเนียบฯ คาดหลังเปิดสภาฯ จะมี ส.ส.เข้าชื่อชงศาลชี้ขาดสถานะตนเอง ไม่หวั่นสร้างหลักฐานเท็จ มั่นใจในการต่อสู้ในทุกทาง เชื่อ ‘วิษณุ’ เข้าใจคลาดเคลื่อน โหวตเลือกนายกฯ

วันที่ 13 มิ.ย. 2566 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามกรณีมีการเปิดเผยคลิปเรื่องของหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีขบวนการหรือใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่นั้นว่า เคยโพสต์ไปแล้วว่ามีความต้องการจะฟื้นคืนชีพไอทีวี ซึ่งรู้อยู่แล้ว มีคนส่งข้อมูลมาให้เรื่อยๆ ตั้งแต่คนทำเอกสารการประชุมก่อนที่จะมีการเปิดเผยคลิป โดยคณะทำงานกฎหมายของพรรคได้รับข้อมูลเข้ามาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องในขบวนการเหล่านี้ ซึ่งทั้งหมดเคยเกิดขึ้นมาแล้วสมัย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แต่ตนมั่นใจในข้อมูลที่มี ทั้งหลักฐานข้อมูลทุกอย่างหากถึงเวลาที่จะต้องเอาขึ้นมาต่อสู้ก็พร้อม

ส่วนเรื่องมาตรา 151 ที่ กกต. มีการตั้งเรื่องก่อนจะส่งศาลอาญาวินิจฉัยจะมีผลหรือเป็นการสกัดกั้นการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น พิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และเป็นฉากทัศน์ที่เคยเกิดขึ้นแล้วกับ ธนาธร ที่สมัยนั้น ชัย ชิดชอบ นั่งทำหน้าที่ประธานสภาชั่วคราว ก่อนที่จะมีการประกาศยุติบทบาทหน้าที่ ส.ส. ซึ่งการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ตัวเองจะสามารถถูกเสนอชื่อได้ ซึ่งจะไม่สามารถสกัดกั้นการเป็นนายกฯคนที่ 30 ของประเทศ โดยหลังจากนี้เชื่อว่าจะมีฉากทัศน์ให้ ส.ส. เข้าชื่อส่งประธานสภาฯเพื่อระงับการปฎิบัติหน้าที่ของตัวเอง โดยจะส่งเรื่องไป 3 ศาลให้วินิจฉัยเรื่องนี้

ขณะเดียวกันในตอนนี้มีผู้หวังดีส่งข้อมูลต่างๆมาให้ตัวเอง ทั้งข้อมูลลายลักษณ์อักษร และคลิป และพรรคก้าวไกลกำลังอยู่ระหว่างการคัดกรองข้อมูล เชื่อว่าจะสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อสู้ในชั้นศาลได้ 

ทั้งนี้พิธา ยังกล่าวเพิ่มเติมว่ากรณี วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ออกมาให้ความเห็นเรื่องการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ว่า วิษณุอาจมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเพราะช่วงเวลานั้น ชัย ชิดชอบ ก็เคยเป็นประธานสภาชั่วคราว และการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นหลังจากโหวตเลือกประธานสภา ที่เป็นชวน หลีกภัย แล้ว ส่วนตัวมองว่ายังมีสิทธิที่จะสามารถถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมเชื่อว่าไม่เป็นอุปสรรคการเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศ

ส่วนกรณีเมื่อวานนี้ มีการเผยแพร่คลิปการประชุมผู้ถือหุ้นฉบับเต็ม ทางสื่อสารมวลชน ที่ไม่ตรง กับบันทึกการประชุมที่ออกมาก่อนหน้านี้ โดยเรื่องนี้ตามหลักกฎหมาย อาจจะไม่สามารถนำมาหักล้างการถือหุ้นของพิธาได้นั้น พิธา ตอบว่า ยังคงยืนยันต่อสู้ทุกรายละเอียด ตัวเองได้เทียบเคียงการถือหุ้นสื่อในอดีต และนำคำตัดสินของศาลมาเป็นบรรทัดฐาน เบื้องต้นก็ยังคงมั่นใจในข้อมูลหลักฐานที่มี และยังมั่นใจในหลักกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลที่จะสร้างหลักฐานเท็จมาเอาผิดตัวเองนั้น ยิ่งทำให้มั่นใจว่าจะสามารถว่าจะต่อสู้ในเรื่องนี้ได้แน่นอน

เมื่อถามถึงเรื่องงบการเงินที่มีการระบุ ในปี 2565 ในเอกสาร พิธา ตอบว่า จะขอไปตรวจสอบเอกสารทางการเงินที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนี้ก่อน แต่ก็ยังคงมั่นใจว่าไม่ส่งผลต่อการต่อสู้คดี

เมื่อถามถึง กรณีการยื่นตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะหมดเขตใน วันที่ 18 มิ.ย.นี้ พิธา ตอบว่า ตัวเองทำทุกอย่างตามที่กฎหมายกำหนด ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมเอกสารอย่างละเอียดไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด โดยการยื่นเอกสารด้วยตัวเองจะสิ้นสุดภายในวันที่ 16 มิ.ย.นี้ ซึ่งหากไม่ทันก็จะรวบรวมทั้งหมดยื่นผ่านช่องทางออนไลน์หรือไปรษณีย์ ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด คือ 18 มิ.ย.นี้ ยืนยัน ว่าทุกอย่างทำด้วยความรัดกุม

ส่วนเรื่องการพูดคุยตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีที่จะเกี่ยวข้องและผลักดันในด้านเศรฐกิจนั้น พิธา กล่าวว่า ขณะนี้ยังเป็นเพียงคณะทำงานด้านเศรษฐกิจที่ตั้งขึ้นมา 2-3 คณะ ทั้งคณะที่ดูในเรื่องการเติบโตด้านเศรษฐกิจและลดความเหลื่อมล้ำ โดยคณะทำงานนี้เพิ่งจะมีการประชุมผ่านพ้นไป ซึ่งจะต้องศึกษาเนื้อหารายละเอียดไว้ก่อน ยังไม่มีการระบุตัวบุคคล และเมื่อถึงเวลาจะมาพิจารณาตัวบุคคลอีกครั้งว่าใครมีความเหมาะสม ซึ่งก็จะเป็นบุคคลในคณะทำงานนั้น

พิธา IMG_5586.jpegพิธา IMG_5585.jpegพิธา สมาพันธ์เอสเอ็มอี IMG_5584.jpeg

สมาพันธ์เอสเอ็มอีกหนุนนโยบายก้าวไกล 'พิธา' ลั่นที่ผ่านมางบซื้อเรือดำน้ำมากกว่างบพัฒนา SME

โดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ประกอบด้วย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล, ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล และ ศุภโชติ ไชยสัจ ร่วมประชุมกับสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย โดยมีแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์ฯ ให้การต้อนรับ

พิธากล่าวว่า พรรคก้าวไกลพร้อมทำงานกับ SME ไทยทุกคนเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ SME เพราะเราถือว่า SME คือรากฐานของเศรษฐกิจ แต่ที่ผ่านมา งบประมาณ SME มีเพียง 2,700 ล้านบาท เรือดำน้ำลำเดียว 30,000 ล้าน ชัดเจนมากว่าการดำเนินการของภาครัฐก่อนหน้านี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการรายย่อยที่มากเพียงพอ

"สาธารณสุข เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ และในขณะเดียวกันต้องลดค่าใช้จ่ายของทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ ทั้งในเรื่องของค่าไฟฟ้า ค่าดอกเบี้ย ที่ต้องเสียให้กับภาครัฐอย่างครบวงจร ทั้งนี้จะเป็นการเพิ่มสัดส่วนให้กับ SME ในการขับเคลื่อน GDP ประเทศไทย" พิธากล่าว

พิธากล่าวว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้ต้องการเพียงแค่ประคับประคองให้ SME ไทยอยู่รอด แต่ต้องการทำให้ SME ไทยมีศักยภาพในการทำธุรกิจมากขึ้น มีขีดความสามารถในการแข่งขันและมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถเติบโตอย่างเข้มแข็งในระยะยาว ผ่านแนวทาง 5 ต. ประกอบด้วย 1) แต้มต่อ เช่น นโยบายหวยใบเสร็จ 2) เติมทุน เช่น นโยบายทุนสร้างตัว รายละ 100,000 บาท 3) ตัดต้นทุน เช่น นโยบาย SME นำค่าแรงขั้นต่ำหักภาษีได้ 2 เท่าเป็นเวลา 2 ปี 4) เติมตลาด เช่น นโยบายกำหนดชั้นวางสินค้า SME ในห้างค้าปลีกสมัยใหม่ และ 5) นโยบายตั้งสภา SME ให้มีอำนาจต่อรองเทียบเท่าทุนใหญ่

พรรคก้าวไกลยังตั้งเป้าหมายให้มีการทบทวนหรือ ‘กิโยติน’ กฎหมายและใบอนุญาต เพื่อลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นสำหรับภาคธุรกิจ โดยภายใน 4 ปีตั้งเป้ายกเลิกใบอนุญาต 50% และยกเลิกทุกกฎหมายที่เป็นอุปสรรค รวมถึงออกกฎหมายเพื่อรับประกันกรอบระยะเวลาของกระบวนการพิจารณาใบอนุญาตไว้ที่ไม่เกิน 15 วัน หากหน่วยงานพิจารณาเสร็จไม่ทันภายใน 15 วัน ให้ถือว่าคำขออนุญาตนั้น มีผลบังคับใช้เหมือนใบอนุญาตทันที

“เราได้เคยนำเสนอชุดนโยบายเหล่านี้ให้กับสมาพันธ์ SME ไปแล้วในช่วงก่อนเลือกตั้ง โดยในวันนี้หลังเลือกตั้งในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรี ก็ยังขอยืนยันคำเดิม และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ขับเคลื่อนชุดนโยบายเหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้จริงภายใน 4 ปีของการเป็นรัฐบาล” พิธากล่าว

ด้าน แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์ SME ไทย กล่าวชื่นชมพิธาว่มีความเข้าใจด้าน SME เป็นอย่างดี และแสดงความสนับสนุนต่อนโยบาย 5 ต. ของพรรคก้าวไกล พร้อมกล่าวว่าการสร้างสวัสดิการกลไกภาครัฐที่เป็นธรรม ทางสมาพันธ์เป็นกำลังใจและสนับสนุนว่าที่รัฐบาลให้ได้ขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ให้สำเร็จ โดยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้าและลดความเหลื่อมล้ำไปพร้อมๆกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงสุดท้ายของการประชุม แสงชัยได้กล่าวถึงการตั้งคณะทำงานระหว่างสมาพันธ์ฯ และพรรคก้าวไกล เพื่อลงรายละเอียดทั้งข้อเสนอเชิงนโยบายอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อเปิดช่องทางการทำงานระหว่างภาคเอกชนและว่าที่รัฐบาลอย่างต่อเนื่องต่อไป