นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษ “ความร่วมมือภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อยกระดับธุรกิจของไทย” ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 ช่วงหนึ่งระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายหลากหลายเรื่อง ทั้งผู้ประกอบการSME ที่กำลังมีปัญหาสภาพคล่อง และส่วนใหญ่ยังไม่สามารถปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป และในขณะเดียวกันเทคโนโลยี ยังทำให้สินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายราคาถูก ท่ามกลางความสงสัยในมาตรฐาน
กระทรวงดีอีขานรับนโยบายรัฐบาล และได้พัฒนาเป็นมาตรการ The Growth Engine Thailand โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัล การสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยด้านไซเบอร์ จะดึงดูดทางการลงทุนจากต่างชาติ และสร้างกำลังคนด้านดิจิตอล ซึ่งขณะนี้ภาคธุรกิจขาดแคลนแรงงานด้านนี้ หรือมีความต้องการทักษะแรงงานปีละ 100,000 คน ในขณะที่มีกำลังผลิตราว 25,000 คนต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายจากปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในธุรกิจ โดยเฉพาะ generative AI ที่ภาคธุรกิจต้องปรับตัวให้ทัน รวมถึงการใช้ประโยชน์จาก Big Data เมื่อนำมารวมกันจะเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้การตัดสินใจมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
โดยรัฐบาล ได้เร่งวางมาตรการระยะกลางและระยะยาว หลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิตอล เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนต่อจีดีพี สูงขึ้นเป็น 30% จากปัจจุบันมีสัดส่วนต่อจีดีพี ราว 12%
รมว. ดีอี ระบุด้วยว่า ในปี 2568 จะมียักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ไม่น้อยกว่า 3 บริษัท (สัญชาติจีน 2 บริษัท) เข้าลงทุนในไทย คาดว่ามีมูลค่าลงทุนไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท และส่วนหนึ่งจะมาลงทุนใน EEC