พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เปิดโอกาสให้นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นำคณะเยาวชนดีเด่นและเยาวชนที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีพร้อมรับมอบโล่รางวัลและรับฟังโอวาทจากนายกรัฐมนตรี
โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งว่า ส่วนตัวขอชื่นชมเด็กและเยาวชนที่ได้รับรางวัลทั้ง 890 คน ซึ่งทุกคนได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดีจนสามารถพัฒนาตนเองได้รับการยอมรับจากสังคมต่อไป อย่างไรก็ตาม เด็กเป็นกำลังสำคัญของชาติ ในการพัฒนาประเทศ จึงไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นหน้าที่ของทุกคน ในการทำให้เด็กเป็นคนดีของสังคม และยึดมั่นสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ รวมถึงมีความซื่อสัตย์และกตัญญูต่อผู้มีพระคุณและประเทศชาติ
ทั้งนี้ ส่วนตัวมุ่งหวังให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้ทั้ง 2 ภาษา ตามความถนัดของแต่ละคน ตลอดจนเรียนรู้ภาษาแล้ววัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้าน โดยในปีไทยจะเป็นประธานอาเซียน จึงไม่ใช่หน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวแต่เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะเป็นเจ้าบ้านที่ดีเพื่อให้ทุกอย่างเกิดความเรียบร้อย หากมุ่งหวังแต่ขยายความขัดแย้งก็จะไม่จบไม่สิ้น จึงต้องทำให้สังคมเกิดความสงบและสันติให้ได้ หลายอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ในวันเดียวแต่ต้องทำอย่างเป็นระบบโดยหลายฝ่ายต้องร่วมมือกัน
อย่างไรก็ตาม วันนี้มีแผนพัฒนา 20 ปีที่หลายคนอาจมองว่านานไปหรือไม่ แต่ใน 20 ปีจะมีการพัฒนาอย่างมีขั้นตอนตามยุทธศาสตร์ชาติที่มีทั้งหมดด้านจึงอยากฝากให้ทุกคนทำความเข้าใจแม้จะหนักเกินไปในขณะนี้ ขอฝากให้กระทรวงศึกษาธิการช่วยชี้แจงด้วยว่าเด็กๆ และเยาวชนอยู่ส่วนใดของยุทธศาสชาติ ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องขับเคลื่อนให้เป็นไปตามแผน ดังนั้นจะขัดแย้งกันไม่ได้อีกแล้ว ขณะเดียวกัน หลายอย่างมีการขยายข่าวขยายความ จนกลายเป็นความขัดแย้ง ซึ่งส่วนตัวเราไม่สบายใจ จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องคำนึงถึงในการเป็นรัฐบาลและประชาชนดี
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า เด็กที่มาในวันนี้มีตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงเด็กโต รวมไปถึงเด็กพิเศษที่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ซึ่งจะต้องเรียนรู้ และขออย่ามองว่าตัวเองมีปัญหา และสังคมจะต้องร่วมกันดูแลเด็กเหล่านี้ ไม่ใช่สร้างให้สังคมขัดแย้งกันไปมา ซึ่งการรวมกลุ่มกันทำผิดกฎหมายไม่ดี ต้องร่วมกันสร้างความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ขณะเดียวกัน ส่วนตัวเป็นห่วงสุขภาพของเด็ก เพราะบางคนมีร่างกายอ่อนแอ และเด็กผู้ชายบางคนน้ำหนักเกินเกณฑ์ จึงอยากให้ออกกำลังกาย ไม่ใช่คิดแต่จะไปหาแต่หมอ เพราะการไปหาหมอ ถือว่าเป็นภาระ จึงต้องลดภาระนั้นด้วยการออกกำลังกาย
ตลอดจนการศึกษาหาความรู้จากหนังสือ ก็เป็นอีกทางหนึ่ง ซึ่งเด็กนักเรียนยังสามารถหาความรู้ได้อีกทางหนึ่งบนเว็บไชต์ และในโซเซียลมีเดียต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ แต่ต้องระมัดระวังเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม จึงต้องมีภูมิคุ้มกันในการเสพสื่อ โดยส่วนตัวได้เคยแนะนำให้โรงเรียนมีการสอนนักเรียน อาจจะยกตัวอย่างข่าวจากเว็บไซต์ว่าข่าวใด จริงหรือไม่จริง เพราะทั้งหมดนี้จะเป็นภูมิคุ้มกันให้กับทุกคนได้