พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กระบุว่า สถาบันวิชาการชั้นนำของประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยผลการจัดอันดับประเทศที่รับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ดีที่สุดในโลก โดยประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 4 จากการสำรวจทั้งหมด 98 ประเทศทั่วโลก เป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้เพราะคนไทยทุกคนมีส่วนร่วม และเราทุกคนควรภาคภูมิใจ
นายกรัฐมนตรี ยังระบุ เชื่อว่าคนไทย หากร่วมมือกันอย่างเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้ จึงขอใช้โอกาสนี้ขอบคุณ ทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง อาสาสมัคร และส่วนงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
รวมทั้งภาคเอกชนที่มีส่วนร่วมโดยทั่วกันทั้งประเทศ ด้วยการให้ความสำคัญในเรื่องของความสะอาดและสุขอนามัยในร้านค้าและสถานประกอบการ ที่สำคัญคือพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ที่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามแนวทางสาธารณสุข
นายกรัฐมนตรีโพสต์ไว้ในช่วงท้ายอีกว่า “เราจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้อีกครั้งด้วยความร่วมมือของทุกคน”
รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านไทยคู่ฟ้าพอร์ตแคช ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 ว่า การพบผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มาจากการตรวจเชิงรุกในชุมชน และในพื้นที่สมุทรสาคร ดังนั้นในพื้นที่จังหวัดอื่น เช่นในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดโดยทั่วไป เมื่อสถานการณ์อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด -19 หรือ ศบค. ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผอ.ศูนย์เป็นประธาน มีการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการโดยแบ่งเป็นพื้นที่ 4 โซน ซึ่งในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 4 จังหวัด คือในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ปทุมธานี และนนทบุรี มีการขยายเวลาในรับประทานอาหารในร้านได้ถึงเวลา 23.00 น. แต่ยังคงงดจำหน่ายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร ให้ซื้อกลับไปดื่มที่บ้านได้
ส่วนการจัดการเรียนการสอน ให้เป็นไปในแบบผสมผสานออนไลน์ และออฟไลน์ ทั้งนี้ยังคงมีการจำกัดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว และสนับสนุนให้ประชาชนใช้แอปพลิเคชั่นหมอชนะ
ส่วนในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เป็นพื้นที่ที่ยังคงพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากยังคงให้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มข้น ซึ่งมาตรการยังคงความเข้มข้นไว้เช่นเดิม โดยกำหนดให้ร้านอาหารเปิดบริการได้ไม่เกิน 21.00 น. ส่วนสถานศึกษาและสถานีขนส่งยังคงปิดการเรียนการสอน
ด้านพื้นที่ควบคุมอีก 20 จังหวัด เช่น ระนอง จันทบุรี ชลบุรี และตราด ได้รับการผ่อนคลาย เช่นการอนุญาตเปิดกิจการผับ บาร์ คาราโอเกะ สามารถนั่งรับประทานในร้านอาหาร และดื่มและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้แต่ไม่เกิน 23.00 น. ส่วนการเรียนการสอนสามารถเปิดได้ตามปกติ
ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังสูงสุด 17 จังหวัด เช่น กำแพงเพชร ชัยนาท ประจวบคีรีขันธ์ และบุรีรัมย์ สามารถเปิดผับ บาร์ คาราโอเกะ โดยให้สามารถนั่งรับประทานอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ แต่ไม่เกินเวลา 24.00 น.
ด้านพื้นที่เฝ้าระวัง 35 จังหวัดที่เหลือ เช่น กระบี่ เชียงใหม่ เชียงราย สามารถเปิดผับ บาร์ คาราโอเกะได้ แต่ตามที่กฎหมายกำหนด แต่ต้องไม่ให้เกิดความหนาแน่นขอผู้ใช้บริการ เว้นระยะห่าง
ส่วนยิม ฟิตเนส สนามมวย เปิดบริการได้แต่ต้องมีการเว้นระยะห่างไม่ให้เกิดความแออัด อย่างไรก็ตาม บ่อนการพนัน สนามไก่ชน สนามชนวัว ห้ามจัดทุกพื้นที่ ส่วนการแข่งขันฟุตบอลไทยหลีก และ วอลเลย์บอลไทยลีกจะมีการถ่ายทอดสดโดยไม่อนุญาตให้มีผู้เข้าชมภายในสนาม
ทั้งนี้ รัชดา ยังระบุอีกว่าประเทศไทยได้จัดอันดับจากงานวิจัยประเทศออสเตรเลีย ให้เป็นประเทศอันดับที่ 4 ในการจัดการโควิด-19 ที่ดีที่สุดในโลก โดยนายกรัฐมนตรีฝากขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องที่ร่วมการทุ่มเทแรงกายแรงใจในการแก้ไขปัญหาโควิดในครั้งนี้ และขอบคุณประชาชนทุกคนที่ช่วยกันคลี่คลายสถานการณ์ให้ดีขึ้น
ส่วนโครงการเราชนะ รัชดา ระบุว่า เมื่อวานนี้ (29 ม.ค.)ถือเป็นวันเปิดลงทะเบียนโครงการเราชนะเป็นวันแรก โดยสามารถลงทะเบียนได้ถึงวันที่ 12 ก.พ. โดยผู้ที่ไม่มีสมาร์ตโฟน สามารถลงทะเบียนได้ที่ธนาคารของรัฐ เช่นธนาคารออมสิน ธนาคารธกส และธนาคารกรุงไทย โดยให้ไปลงทะเบียนในวันที่ 15 ก.พ.เป็นต้นไป ส่วนกลุ่มเปราะบางเช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดทีม วันโฮม อาสาสมัคร พม. ในตำบลต่างๆเข้าไปให้คำแนะนำ
ส่วนข้อกังวลว่าหากไม่มีสมาร์ตโฟนแล้วจะนำเงินดังกล่าวไปซื้อของได้อย่างไรรัชดา ย้ำว่าขอให้รออีกนิดกระทรวงการคลังกำลังพิจารณาวิธีการและรายละเอียดต่างๆ
ส่วนผู้ประกันตนตามมาตรา 33 รัชดา ระบุว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา เห็นชอบการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ลดอัตราเงินสมทบจำนวน 2 เดือน เหลือ 0.5% ในเดือนก.พ.และมี.ค. ส่วนอัตราการจ่ายเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 แต่เดิมต้องจ่ายเงินสมทบ 432 บาท เหลือเพียงเดือนละ 38 บาท แต่ยืนยันว่าสิทธิประโยชน์ ยังคงได้รับเหมือนเดิม
ส่วนในกรณีผู้ว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย ผู้ประกอบการถูกรัฐบาลสั่งปิด ผู้ประกันตนจะได้รับเงินเยียวยา 50% ของเงินเดือนแต่สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท เป็นเวลาไม่เกิน 90 วัน แต่หากเป็นกรณีถูกเลิกจ้างผู้ประกันตนจะได้รับเงินชดเชย ในอัตรา 70% ของเงินเดือน ปีละไม่เกิน 200 วัน แต่ในกรณีลาออกจะได้เงินชดเชยจำนวน 45% ของค่าจ้าง แต่ไม่เกินปีละ 90 วัน
รัชดา ยังอธิบายอีกว่า ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จะไม่เข้าเกณฑ์การชดเชยเยียวยาในโครงการเราชนะ ขณะนี้กระทรวงแรงงานและกระทรวงการคลังกำลังพิจารณาหาแนวทางยาวร่วมกันอยู่
ด้านความคืบหน้าเรื่องวัคซีน นายกรัฐมนตรีได้สั่งการทำแผนการจัดการวัคซีน โดยให้มาส่งในที่ประชุมศบค.ในสัปดาห์หน้า เมื่อได้วัคซีนมาแล้วจะทยอยฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงแต่ละกลุ่ม กลุ่มแรกจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ส่วนในวันที่ 16-19 ก.พ. สภาผู้แทนราษฎร จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งเป็นไปตามกลไกนิติบัญญัติที่สามารถอภิปรายได้ปีละครั้ง ซึ่งประชาชนจะได้รับฟังมุมมองข้อมูลของฝ่ายค้าน ที่ต้องการวิจารณ์รัฐบาลหรือมีข้อมูลสร้างสรรค์ที่จะช่วยกันพัฒนาประเทศ โดยนายกรัฐมนตรี ยืนยันมาโดยตลอดว่าเคารพการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ
แต่ขณะเดียวกันก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่รัฐบาลจะได้ให้ข้อมูลกับฝ่ายค้านและประชาชน ว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำงานอะไรไปบ้างในการดูแลประชาชน ส่วนข้อกังวลคงเป็นรูปแบบและสไตล์การอภิปราย ไม่ใช้ถ้อยคำที่นำไปสู่ความเกลียดชัง และหวังว่าเวทีอภิปรายนี้จะได้ข้อมูลแก่นสารที่เป็นประโยชน์ เพราะทุกคนก็หวังดีต่อประเทศเช่นเดียวกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :