ไม่พบผลการค้นหา
สื่อท้องถิ่นนครเซี่ยงไฮ้รายงานว่า หญิงชาวจีนคนหนึ่งซึ่งบินกลับจากไทย ปฏิเสธการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังโรคโควิด-19 เมื่อเดินทางถึงสนามบินในนครฉงชิ่ง พร้อมขู่ฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ แต่เจอตอบโต้ว่า ถ้าไม่ปฏิบัติตามจะถูก 'ส่งกลับ'

เว็บไซต์ Shanghaiist รายงานว่า เหตุการณ์วุ่นวายดังกล่าวเกิดขึ้นที่สนามบินฉงชิ่งเมื่อวันที่ 22 มี.ค. ที่ผ่านมา เมื่อหญิงชาวจีนวัย 30 ปีคนหนึ่ง ตะโกนใส่เจ้าหน้าที่ควบคุมโรคระบาดและนักเดินทางคนอื่นๆ ที่พยายามอธิบายเหตุผลว่าเธอต้องรับการกักตัวเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 โดยหญิงคนนี้ยืนยันว่าจะไม่กักตัว เธอต้องการเดินทางกลับบ้าน และจะฟ้องเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาขัดขวาง

รายงานระบุว่า หญิงชาวจีนคนนี้เดินทางกลับจากประเทศไทยไปยังนครเซี่ยงไฮ้ ก่อนจะต่อเครื่องไปยังนครฉงชิ่ง และโต้เถียงเจ้าหน้าที่ที่สนามบินฉงชิ่งว่าเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคที่เซี่ยงไฮ้ตรวจคัดกรองเธอแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องถูกกักตัวอีก

เมื่อไม่นานมานี้ นครเซี่ยงไฮ้ได้ประกาศคำสั่งกักตัวผู้เดินทางมาจาก 24 ประเทศที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบาดรุนแรง แต่ไทยไม่ได้อยู่ในรายชื่อดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม นครฉงชิ่งได้ประกาศเมื่อวันที่ 17 มี.ค. ว่าจะกักตัวผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ซึ่ง Shanghaiist ระบุว่าหญิงคนนี้ไม่พอใจต่อคำอธิบายของเจ้าหน้าที่นครฉงชิ่ง และฉีกเอกสารข้อมูลเป็นการประท้วง ทั้งนี้ ไม่ชัดเจนว่าเหตุการณ์นี้จบลงอย่างไร แต่โฆษกของหน่วยงานประชาสัมพันธ์นครฉงชิ่งเตือนหญิงคนนี้ว่า หากเธอไม่ยอมถูกกักตัวและไม่ฟังคำสั่ง ก็มีทางเดียวคือส่งเธอกลับไปยังที่ที่เดินทางมา 

วันนี้ (25 มี.ค.2563) ทางการจีนรายงานว่าจำนวนผู้ติดเชื้อยืนยันรายใหม่ลดลง เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อนำเข้าลดลงและไม่มีรายงานการแพร่เชื้อในท้องถิ่น รวมถึงในมณฑลหูเป่ยซึ่งเป็นต้นตอการระบาดของโควิด-19 โดยคณะกรรมการสาธารณสุขแห่งชาติจีนระบุว่าจนถึงวันอังคารที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 47 ราย ทั้งหมดติดเชื้อมาจากต่างประเทศ แต่ถือเป็นจำนวนที่ลดลงจากหนึ่งวันก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ 78 ราย

ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมล่าสุดในจีนอยู่ที่ 81,218 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ติดเชื้อจากที่อื่น (imported case) 474 ราย ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า ผู้ติดเชื้อกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มขึ้น 4 ราย รวมเป็น 3,281 ราย  

อ้างอิง Shanghaiist/The Straits Times