ไม่พบผลการค้นหา
โฆษกศาลยุติธรรม ออกโรงชี้แจงข่าวบริษัทรถยนต์จ่ายสินเซ่นคดีภาษี ย้ำคดียังไม่สิ้นสุด พร้อมขอให้ระวังการนำเสนอข่าวที่ไม่มีมูล

จากกรณี 'โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน' เปิดเผยเรื่องราวกระบวนการสอบสวนประเด็นการจ่ายสินบนของบริษัทลูกในประเทศไทยให้แก่บุคลากรของกระบวนการยุติธรรมไทย หวังผลทางคดีความ


ย้อนไทม์ไลน์คดี

ล่าสุด สุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม ชี้แจงข้อเท็จจริงดังกล่าวว่า คดีที่มีการอ้างถึงนั้นเป็นคดีที่บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทย จำกัด ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐที่จัดเก็บภาษี เป็นจำเลย เนื่องจากการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อประกอบเป็นรถยนต์รุ่นพรีอุส มีคำขอให้เพิกถอนการประเมินและเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของหน่วยงานที่จัดเก็บภาษี ศาลภาษีอากรกลาง ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการประเมิน และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เป็นผลให้บริษัทโตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย จำกัดโจทก์ไม่มีความรับผิดทางภาษีอากร

ต่อมาหน่วยงานของรัฐที่จัดเก็บภาษีซึ่งเป็นจำเลยในคดีได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ มีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ เป็นผลให้โจทก์ต้องรับผิดชำระภาษีอากรตามการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ โจทก์จึงยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ฎีกาและรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณา โดยศาลภาษีอากรกลางได้การอ่านคำสั่งคดีขออนุญาตฎีกาไปเมื่อวันที่ 29 มี.ค.64 ขณะนี้คดียังอยู่ระหว่างศาลภาษีอากรกลางดำเนินการให้ฝ่ายจำเลยยื่นคำแก้ฎีกา หลังจากนั้นศาลภาษีอากรกลางจะรวบรวมสำนวนส่งคืนศาลฎีกาเพื่อพิจารณาต่อไป


คำตัดสินยังไม่ถึงที่สุด

ดังนั้นในคดีนี้ศาลฎีกาจึงยังไม่ได้พิจารณาพิพากษาคดี เพียงพิจารณาคำร้องขออนุญาตฎีกาเท่านั้น ซึ่งการอนุญาตให้ฎีกาเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.พ.) มาตรา 249 ประกอบพ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 26 ที่กำหนดให้ศาลฎีกาพิจารณาอนุญาตให้ฎีกาเมื่อเห็นว่าปัญหาตามฎีกานั้นเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่พิจารณาเพียงว่าปัญหาที่ยื่นฎีกานั้นเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาสมควรอนุญาตให้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาหรือไม่ โดยยังไม่ได้มีการพิจารณาเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีแต่อย่างใด

สำหรับคดีในกลุ่มบริษัท โตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทย จำกัด ทั้ง 10 สำนวนนั้น มีทุนทรัพย์รวมกันกว่า10,000 ล้านบาท นั้น คำพิพากษาของศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ขัดแย้งกันในสาระสำคัญ ทั้งเกี่ยวพันกับความตกลงระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันกับประเทศไทย และยังเป็นกรณีที่ไม่มีแนวคำพิพากษาของศาลฎีกามาก่อน คำสั่งอนุญาตให้ฎีกาจึงเป็นไปตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดี ภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 26


ยืนยันเป็นเพียงข้อกล่าวหาเลื่อนลอย

โฆษกศาลฯ ยังกล่าวถึงการแอบอ้างหรือกล่าวหาว่า อาจมีการจ่ายสินบนให้ผู้พิพากษา นั้น เกิดขึ้นอยู่เสมอ ซึ่งอาจไม่มีมูลความจริงอยู่เลย แต่ก็สร้างความเสียหายและความคลางแคลงใจในหมู่ประชาชนและสังคมโดยรวมทันทีที่มีการออกข่าวหรือแอบอ้างว่า มีการจ่ายและรับสินบน ดังนั้น การให้ข่าวลักษณะนี้ควรมีการตรวจสอบให้ชัดเจนในระดับหนึ่งก่อน หากศาลยุติธรรมได้รับข้อมูลหรือสามารถตรวจสอบได้อย่างแน่ชัดว่า ผู้พิพากษาท่านใดกระทำการอันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการรับสินบนหรือไม่

ศาลยุติธรรมโดยคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมก็จะดำเนินการตรวจสอบและลงโทษ อย่างเด็ดขาดกับการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษา ทำลายความเป็นกลางของศาล และทำให้สังคมไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทย ที่ผ่านมา ก.ต. ก็ดำเนินการลงโทษทางวินัยอย่างเด็ดขาดกับกรณีเช่นนี้มาโดยตลอด จึงขอแจ้งให้ทราบทั่วกัน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง

อ่านเพิ่มเติม