นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเดินทางมาศาลทหารวันนี้ (22ก.ค.) เพื่อรับฟัง การโยกคดีจากศาลทหารไปศาลยุติธรรมปกติ ซึ่งถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ หลังไม่ไปรายงานตัวตามประกาศคำสั่ง คสช. เมื่อปี 2557 โดยจะไปเริ่มกระบวนการต่อจากที่ได้พิจารณาไว้แล้ว เมื่อย้ายไปศาลยุติธรรมจะมีขั้นตอนของการอุทธรณ์และฎีกาได้ ซึ่งมีหลักประกันว่าจะได้รับความยุติธรรมมากขึ้น
พร้อมยืนยันหลักการว่าพลเรือนไม่ควรขึ้นศาลทหาร โดยเฉพาะพลเรือนที่มีความเห็นต่างจากผู้นำทหาร และไปวิจารณ์การรัฐประหารที่ทำโดยผู้บัญชาการทหารบก จนต้องขึ้นศาลทหารถือเป็นความไม่ชอบธรรมอย่างยิ่ง การที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติให้พลเรือนต้องขึ้นศาลทหาร ถือเป็นความอยุติธรรมแก่ประชาชนพลเรือน จำนวนมาก ที่มีคดีส่วนใหญ่เกิดจากการไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร และการบริหารบ้านเมืองของ คสช.รัฐบาล เท่ากับเป็นการปิดปากประชาชนไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์ คสช.และรัฐบาล โดยเฉพาะตัวพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการปิดปากแล้วประชาชนที่ไม่มีความพร้อมในการต่อสู้คดี ยังต้องถูกลงโทษทั้งที่ไม่ควรถูกลงโทษ
นายจาตุรนต์ กล่าวด้วยว่า คดีที่ศาลทหารกลับไปศาลยุติธรรมปกติ จะเป็นเรื่องน่ายินดีแต่ขอให้คิดว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดความอยุติธรรม ต่อประชาชนจำนวนมากเพื่อรักษาอำนาจของ คสช.
นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งบางประเภทของคสช. ให้นายทหารตั้งข้อหาตรวจค้นจับกุมหรือคุมขังประชาชนได้ 7 วัน โดยเฉพาะคำสั่งที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงยังมีอยู่ แม้จะมีนักกฎหมายบางคนตีความว่าไม่สามารถบังคับใช้ได้แล้วก็ตาม
แต่คำสั่งดังกล่าวต้องยืนยันว่าถูกยกเลิกไป จะมาอาศัยการตีความเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะหากเจ้าหน้าที่ทหารต้องการเอาใจผู้มีอำนาจ อาจนำกฎหมายเหล่านี้กลับมาตีความอีกครั้ง ดังนั้น สภาผู้แทนราษฎรควรหาทางยกเลิกกฎหมายในลักษณะเช่นนี้ เพราะเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และทำให้ประชาชนไม่กล้าตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
อ่านเพิ่มเติม