ไม่พบผลการค้นหา
คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 เร่งขับเคลื่อนพัฒนาระบบยาแห่งชาติในทุกมิติ ลดการนำเข้ายา ช่วยรัฐประหยัดงบกว่า 600 ล้านบาท/ปี มุ่งให้ประชาชนทุกระดับสามารถเข้าถึงยาคุณภาพ

วันนี้ (4 มีนาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วม

รองนายกประเสริฐ กล่าวว่า รัฐบาล มีนโยบายพัฒนาระบบสาธารณสุขให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดการบัญชียาหลักให้ประชาชเข้าถึงได้ อีกทั้ง เพื่อเป็นการตอบสนองต่อนโยบาย 30 บาท รักษาทุกที่ ทั้งนี้ ต้องขอความร่วมมือในการพัฒนาและส่งเสริมการวิจัยอุตสาหกรรมสุขภาพนวัตกรรมภายในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าและส่งเสริมเศรษฐกิจผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพอย่างยั่งยืน ขอให้กองทุนสุขภาพร่วมกันขับเคลื่อนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งยาจำเป็นที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ผ่านการบริหารจัดการสุขภาพด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ที่เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาระบบยาของประเทศไทย ให้บรรลุตามวิสัยทัศน์ของประเทศไทยมีระบบยาที่มั่นคงอยู่บนพื้นฐานของการวิจัยและพัฒนา ประชาชนได้เข้าถึงคุณภาพของยาได้อย่างทั่วถึง

โดยที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้รับทราบ (ร่าง) พระราชบัญญัติเศรษฐกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพ พ.ศ. .... และมอบ สธ. รับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปประกอบการพิจารณาจัดทำ (ร่าง) พระราชบัญญัติเศรษฐกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพ พ.ศ. .... เพิ่มเติม โดยกฎหมายฉบับนี้จะช่วยบูรณาการความร่วมมือภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐและเอกชน รวมทั้งสร้างระบบนิเวศน์ที่เอื้อตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อผลักดันผลิตภัณฑ์สุขภาพกลุ่มเป้าหมายให้สามารถสร้างนวัตกรรมตอบสนองสถานการณ์ทั้งภาวะปกติและฉุกเฉินได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศทั้ง การสร้างความมั่นคงของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สร้างมูลค่าและการเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

นอกจากนี้ คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติเห็นชอบเพิ่มรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยาจำเป็นที่มี ราคาแพงกว่า 20 รายการ เช่น ยารักษาพิษจากแอลกอฮอล์ชนิดรุนแรง ปรับปรุงเงื่อนไขการใช้ยารักษาภาวะ เลือดออกรุนแรงในผู้ป่วยฮีโมฟีเลีย เป็นต้น ส่งผลให้ประชาชนเข้าถึงยาจำเป็นที่มีราคาแพงได้มากกว่า 3,200 คน รวมทั้งอนุมัติให้มีทะเบียนยามุ่งเป้าเพิ่มขึ้นอีก 18 ตำรับเมื่อรวมกับปี 2567 เป็น 35 ตำรับ เพื่อช่วยลดการนำเข้า และส่งผลให้รัฐประหยัดงบประมาณมากกว่า 600 ล้านต่อปี

พร้อมกันนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนา ระบบยาของประเทศไทย (พ.ศ. 2566-2570) และการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ ภายใต้คณะกรรมการฯ ที่ได้จัดตั้งจำนวน 9 คณะ โดยเฉพาะการส่งเสริมอุตสาหกรรมยาในประเทศ การพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติวัคซีน และสมุนไพร การพัฒนา platform ติดตามการกระจายยา (track and trace) เป็นต้น และในวันที่ 2-3 เมษายน 2568 กระทรวงสาธารณสุขจะมีการจัดประชุมวิชาการก้าวสู่ทศวรรษที่ 5 ระบบยาประเทศไทย