นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องขังในคดีหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้รับการปล่อยตัวเมื่อเวลา 06.00 น. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร หลังถูกคุมขังในเรือนจำมาเป็นเวลา 7 ปี โดยมีประชาชนเดินทางมามอบดอกไม้และให้กำลังใจ ทั้งนี้ น.ส.ประกายดาว พฤกษาเกษมสุข บุตรสาวและนายปณิธาน พฤกษาเกษมสุข บุตรชายมาร่วมรอรับตัวนายสมยศด้วย
นายสมยศ เปิดเผยว่า หลังจากได้รับอิสรภาพจะไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เพราะเห็นว่าเป็นสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งการเลือกตั้งถือเป็นรูปแบบหนึ่งของประชาธิปไตย ซึ่งประเทศต้องเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ขอเรียกร้องให้รัฐบาลอย่าเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ซึ่งการชุมนุมถือเป็นสีสันประชาธิปไตย จึงอยากให้รัฐบาลเปิดใจกว้าง ไม่ควรไปขัดขวางการชุมนุม พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการยกเลิกคำสั่ง คสช. เพราะเกรงว่าจะนำไปสู่เหตุการณ์แบบพฤษภาทมิฬ 2535 และพฤษภาคม ปี 2553
"ผมผิดหวังหน่อยเดียวที่ออกมาแล้วไม่เจอกับประชาธิปไตย เพราะยังอยู่ในบรรยากาศที่ถูกควบคุมโดยคำสั่ง คสช. ซึ่งมีข้อจำกัดการแสดงความคิดเห็น" นายสมยศกล่าว
นายสมยศ ยอมรับว่าการถูกคุมขังมา 7 ปีถือเป็นความทุกข์ทรมานที่สูญเสียอิสรภาพ ครอบครัว อาชีพ รายได้พังทลาย ต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ ส่วนตัวคิดว่าต้องเดินหน้าทวงคืนความยุติธรรมและทวงคืนประชาธิปไตย
นายสมยศ ระบุว่า การถูกคุมขังในเรือนจำได้พบเห็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยการนอนในเรือนจำมีผ้าห่มเพียง 3 ผืน ส่วนตัวเคยเรียกร้องไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแล้ว โดยคณะกรรมการสิทธิฯ เคยชี้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งที่รัฐบาลได้ยกเรื่องสิทธิมนุษยชนมาเป็นวาระแห่งชาติ
นายสมยศ กล่าวต่อว่า ส่วนตัวสนับสนุนข้อเสนอของพรรคอนาคตใหม่ที่จะผลักดันให้มีการแก้ไขมาตรา 112 เพราะส่วนตัวได้บทเรียนมามากพอสมควรเนื่องจากมีผู้ถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองจนถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ซึ่งไม่เป็นผลดี ทั้งนี้ระหว่างการถูกคุมขังก็ได้พบแกนนำเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ทั้งสองฝ่ายรักใคร่กันดี และมีความคิดที่จะร่วมมือกันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและก้าวหน้า
ขณะที่น.ส.ประกายดาว บุตรสาวนายสมยศ กล่าวว่า รู้สึกเป็นกังวลหากผู้เป็นพ่อต้องไปเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังจากนี้ แต่ก็เคารพความคิดของผู้เป็นพ่อและพร้อมให้กำลังใจ
สำหรับ นายสมยศ เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและ บรรณาธิการนิตยสาร Voice of Taksin เป็นนักรณรงค์เรื่องสิทธิแรงงานมา
ในปี 2549 นายสมยศมีบทบาทต่อต้านการรัฐประหารของ คมช. เคยเป็นแกนนำ นปช. รุ่น 2 หลังแกนนำ นปช. รุ่นแรกถูกจำคุกจากเหตุชุมนุมในเดือนเม.ย.ปี 2552 และหลังจากนั้นไม่นานเขาก่อตั้งกลุ่ม “24 มิถุนาประชาธิปไตย” ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เรียกร้องประชาธิปไตย พร้อมกันนั้นเขายังเป็นพิธีกรรายการ “เสียงกรรมกร” ผ่านสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม DTV ด้วย
นายสมยศ ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2554 หรือ 5 วันหลังจากที่มีการรณรงค์ล่ารายชื่อ 10,000 รายชื่อเพื่อให้รัฐสภายกเลิกมาตรา 112 โดยในระหว่างสู้คดี เขาถูกคุมขังโดยไม่ได้รับการประกันตัว ระหว่างไต่สวนคดี สมยศยังถูกนำตัวไปขึ้นศาลยังจังหวัดต่างๆ ถึง 4 แห่งตามที่อยู่ของพยานโจทก์ ได้แก่ นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ สระแก้ว สงขลา ก่อนขึ้นศาล เขาถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการที่เขาเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Voice of Taksin
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2556 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 10 ปี ต่อมาวันที่ 19 ก.ย.2557 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และในวันที่ 23 ก.พ.2560 มีคำพิพากษาศาลฎีกา ระบุว่าที่จำเลยฎีกาต่อสู้ว่า มิได้มีเจตนากระทำผิด และข้อความในบทความหมายถึงอำมาตย์นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งในชั้นฎีกาไม่อาจต่อสู้ในข้อเท็จจริงได้อีก อย่างไรก็ตาม ตามที่จำเลยได้ต่อสู้มารับฟังได้ว่า จำเลยเป็นเพียงบรรณาธิการ มิใช่ผู้เขียนและยังให้ข้อมูลว่าใครเป็นผู้เขียน จำเลยยืนยันว่ามีความจงรักภักดี อีกทั้งเมื่อพิจารณาประกอบกับอาชีพ อายุและประวัติของจำเลย ทั้งจำเลยก็ต้องโทษมาเป็นระยะเวลาพอควรแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นควรแก้โทษจำคุก เหลือกระทงละ 3 ปี รวม 2 กระทง 6 ปี ทั้งนี้เมื่อรวมกับโทษจำคุกคดีหมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร อีก 1 ปี ทำให้สมยศต้องจำคุกรวมเป็นเวลากว่า 7 ปี