ผลการรวบรวมคะแนนตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน จนถึง 24 ธันวาคม 2017 พบว่าผู้ร่วมลงคะแนนโหวตกับ Voice TV มีจำนวนทั้งสิ้น 276 คน และสีจิ้นผิงมีคะแนนนำ คิดเป็น 57 เปอร์เซ็นต์ของผู้ออกเสียงทั้งหมด รองลงมาคือโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ มีคะแนนคิดเป็น 18 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอันดับ 3 คือโรดริโก ดูแตร์เต 12 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 4 คิมจองอึน 7 เปอร์เซ็นต์ และอันดับ 5 อองซานซูจี คิดเป็น 6 เปอร์เซ็นต์ของผู้ร่วมโหวต
สีจิ้นผิง เป็นผู้นำสูงสุดของจีนที่ได้รับความเคารพและมีอำนาจมากที่สุดนับตั้งแต่ยุคเหมาเจ๋อตุงก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน และแนวคิดของสีจิ้นผิงได้รับการบัญญัติไว้ในธรรมนูญของพรรคคอมมิวนิสต์ในปีนี้ หลังจากที่เขาได้ประกาศภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ทั้งปราบปรามคอร์รัปชัน ถ่วงดุลชาติตะวันตก และขยายอิทธิพลจีน ทั้งด้านเศรษฐกิจและกองทัพ
สีจิ้นผิงขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาได้แล้ว 5 ปี นับว่าเป็นผู้นำที่มีแนวความคิดสมัยใหม่ แต่ก็ยังยึดมั่นในหลักการของพรรคคอมมิวนิสต์ เขามีผลงานเด่นหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกนโยบายลูกคนเดียวเพื่อแก้ปัญหาสังคมผู้สูงอายุ และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว นอกจากนี้ยังเดินหน้ารักษาผลประโยชน์จีนในต่างแดน โดยเฉพาะเรื่องทะเลจีนใต้ ที่แม้จะถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าจีนใช้กองทัพเรือในการยึดครองพื้นที่ในทะเลจีนใต้ไว้แต่เพียงผู้เดียว ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นพื้นที่ที่ใช้ร่วมกันของหลายประเทศ แต่จีนก็ไม่สนซึ่งภายหลังจีนค่อยใช้วิธีเจรจากับประเทศคู่กรณีทีละประเทศ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย
แต่ผลงานที่เด่นชัดและยิ่งใหญ่ที่สุดของสีจิ้นผิงคงเป็นเรื่องนโยบายปราบปรามคอร์รัปชัน ที่เขามองว่าเป็นปัญหาสะสมของพรรคคอมมิวนิสต์มานานแล้ว และหากไม่รีบจัดการจนประชาชนเกิดความไม่พอใจอาจจะก่อให้เกิดกระแสต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมาได้ ซึ่งสีมีคำสั่งห้ามเจ้าหน้าที่รัฐรับเงินจากเอกชน แม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างการรับของขวัญหรือรับซองในงานเลี้ยงก็ไม่ได้เด็ดขาด นอกจากนี้ยังเอาจริงกับการลงโทษ เจ้าหน้าที่รัฐที่พัวพันกับคดีคอรัปชัน จนมีเจ้าหน้าที่ถูกลงโทษไปแล้วกว่า 1 ล้าน 5 แสนคน
อีกผลงานหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ของสีจิ้นผิง คือการก่อสร้างเส้นทางสายไหมใหม่ หรือโครงการ One Belt One Road ที่ช่วยขยายอิทธิพลด้านเศรษฐกิจของจีนสู่ภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และในเอเชียอย่างทั่วถึง ผ่านโครงการลงทุนก่อสร้างระบบพื้นฐาน ทั้งทางรถไฟ, ถนน และ ท่าเรือ ทำให้สินค้าจีนกระจายไปสู่ทุกประเทศอย่างทั่วถึง และยังเปิดโอกาสให้ชาวจีนไปลงทุนในประเทศเหล่านี้ด้วย
สิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันว่า สีจิ้นผิง เป็นผู้นำจีนที่ได้รับการยกย่องให้เทียบเท่ากับเหมาเจ๋อตุงมาจากการที่แนวคิดของเขาที่ชื่อว่า "ความคิดแนวสังคมนิยมกับเอกลักษณ์ความเป็นจีนสำหรับยุคใหม่" ได้รับการบัญญัติลงไปในรัฐธรรมนูญของจีนเพื่อเป็นหลักในการบริหารประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งการที่ชื่อและแนวคิดของสีจิ้นผิงถูกจารึกลงในรัฐธรรมนูญจีนเป็นการยกระดับความสำคัญของนายสีจิ้นผิงให้เทียบเท่ากับอดีตผู้นำสร้างชาติอย่างเหมาเจ๋อตุงที่ได้รับการจารึกชื่อและแนวคิดลงในรัฐธรรมนูญจีนขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่เช่นกัน นั่นหมายความว่าหลังจากนี้การท้าทายอำนาจหรือการวิพากษ์วิจารณ์การบริหารประเทศของสีจิ้นผิงก็จะเป็นเรื่องที่ยากขึ้นด้วย
เป้าหมายพัฒนาประเทศของสีจิ้นผิงคือ การนำจีนเข้าสู่การเป็นประเทศสังคมนิยมยุคใหม่ โดยพรรคคอมมิวนิสต์จะยังเป็นสถาบันที่เข้มแข็งในการบริหารประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็จะเปิดกว้างสู่โลกภายนอกมากขึ้นทั้งด้านความโปร่งใสและการเปิดรับความคิดใหม่ๆ และตั้งเป้าว่าจีนจะต้องบรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศมหาอำนาจผู้นำโลกที่เข้มแข็งและทรงอิทธิพลภายในปี 2050
อ่านเพิ่มเติม:
ปรัชญาสีจิ้นผิงเน้น China First?
สีจิ้นผิงประกาศนำจีน 'สู่ศักราชใหม่' เน้นเปิดกว้างสู่ประชาคมโลก