ไม่พบผลการค้นหา
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธ.ไทยพาณิชย์ประเมินผลกระทบกรมอุทยานฯ ประกาศปิดอ่าวมาหยา 3 เดือน จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวไม่เกิน 2 พันคนต่อวัน ตั้งแต่ 1 ต.ค. เป็นต้นไป สูญรายได้ร้อยละ 6 แต่ได้ฟื้นฟู-จัดการแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ

เนื่องจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ออกประกาศปิดอ่าวมาหยา ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ระหว่างวันที่ 1 มิ.ย. – 30 ก.ย. 2561 รวมถึงจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวที่จะเข้าพื้นที่อ่าวมาหยาให้ไม่เกิน 2,000 คนต่อวัน นับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2561 นี้เป็นต้นไป เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรทางธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยว 

รวมถึงยังมอบหมายให้สมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลร่วมกับ 4 มหาวิทยาลัยทำวิจัยเพื่อวิเคราะห์ขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวและความเต็มใจจ่ายของนักท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลอีก 6 แห่ง ได้แก่ 1) อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด จ.ระยอง 2) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา 3) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา 4) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง (เฉพาะจุดดำน้ำ) จ.ตราด 5) อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาในบางจุด เช่น เกาะตะปู เขาพิงกัน จ.พังงา และ 6) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ เพื่อดูความเป็นไปได้ในการออกมาตรการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวในอนาคต

แม้ว่าทิวทัศน์ของอ่าวมาหยาจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสัญลักษณ์และมีชื่อเสียงของ จ.กระบี่ แต่ในปัจจุบันมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงที่สามารถทดแทนได้ และเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เช่น เกาะปอดะ สระมรกต ทะเลแหวก หาดไร่เลย์ เป็นต้น 

ดังนั้น ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในสมมติฐานที่ไม่มีจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงที่ปิดอ่าวและมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพียง 2,000 คนต่อวันในช่วงเดือน ต.ค.- ธ.ค. และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติลดจำนวนวันพักแรมเฉลี่ยใน จ.กระบี่ ลง 1 วัน คาดว่าจะกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยวของ จ.กระบี่ ในปี 2561 ราวร้อยละ 6 เท่านั้น


"ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยวของ จ.กระบี่ ราวร้อยละ 6 ในปี 2561"


อย่างไรก็ตาม กรมอุทยานแห่งชาติฯ มีแนวโน้มจะดำเนินมาตรการเดียวกันกับอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งอื่น ๆ ในอนาคต ทั้งการจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวและการปิดพื้นที่บางส่วนในเขตอุทยานแห่งชาติฯ เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน และอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จ.พังงา ซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติจำนวนมาก สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเฉลี่ยปีละร้อยละ 146 ในช่วงปี 2558- 2560 

ทั้งนี้ ในอดีตกรมอุทยานแห่งชาติฯ เคยประกาศปิดเกาะยูง (อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่) ในปี 2558 และเกาะตาชัย (อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา) ในปี 2559 อย่างไม่มีกำหนดเนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติได้รับความเสียหายจากการท่องเที่ยวมาแล้ว

มาตรการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในระยะกลาง-ยาว เนื่องจากมาตรการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟูและจัดการแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในระยะยาว 

นอกจากนี้ การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจะช่วยให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจจากความความสงบที่ได้รับ นอกเหนือจากความสวยงามตามธรรมชาติ นำมาซึ่งภาพลักษณ์ที่ดีของการท่องเที่ยวในไทย

ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนและภาครัฐควรร่วมมือกันแก้ปัญหาการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติแบบยั่งยืน เช่น ผู้ประกอบการนำเที่ยวอาจนำเสนอโปรแกรมท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก เพื่อลดการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยว ซึ่งภาครัฐควรเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาและประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพิ่มเติม รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการท่องเที่ยว รวมถึงการใช้กลไกด้านราคาเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เช่น การปรับค่าเข้าอุทยานแห่งชาติที่ได้รับความนิยมให้สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยว เป็นต้น