ขณะที่การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปี 2562 ภายใต้การคุมเกม – อำนาจ ของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ยึดอำนาจจาก รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 ซึ่งยังไม่อาจคาดเดาบทสรุปได้ว่าจะคลี่คลายรอยร้าวแห่งความขัดแย้งออกไปได้หมดหรือไม่
แม้ล่าสุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จะตอบโต้ 'ทักษิณ' ในวาระที่ครบรอบ 12 ปี รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ว่า "บ้านเมืองมันยุ่งอยู่นี่ เพราะใครล่ะ"
ทว่าหนึ่งในผู้ร่วมต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปี 2549 ย่อมปฏิเสธชื่อ 'จตุพร พรหมพันธุ์' ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ไปไม่ได้
เพราะเขาเพิ่งพ้นโทษการจองจำในเรือนจำมาเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นผลพวงจากที่เขาได้เป็นหัวหอกเคลื่อนไหวทางการเมืองบนท้องถนนมาอย่างหนักตั้งแต่หลังปี 2549 – 2557
หลังพ้นเรือนจำมาได้ไม่นาน ‘จตุพร’ ส่งเสียงกระตุ้นเตือนฝ่ายการเมือง ให้ทำ ‘สัญญาประชาคม’ ก่อนเลือกตั้ง ยื่นข้อเสนอให้มีผู้มีอำนาจ
“ถ้า ส.ส.รวมเสียงข้างมากเกิน 250 คน 250 ส.ว. คสช.แต่งตั้ง ต้องน้อมรับมติโหวตนายกฯ”
เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 คือ 'ฉบับหาเรื่อง' วิกฤตการเมืองพร้อมเกิดขึ้นทุกขณะ ตั้งแต่ยกแรก 'นายกฯคนนอก-นายกฯคนใน' จำเป็นต้องหาสูตร “แก้ก่อนตาย ไม่ใช่ตายก่อนแก้”
"มันคือรักแท้ในคืนหลอกลวง" คือคำกล่าวที่ 'จตุพร' มักเปรียบเทียบโดยยกขึ้นพูดทั้งในเวที นปช. และผ่านจอทีวีอยู่บ่อยครั้ง ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากการเป็นผู้ถูกกระทำ ต่อกระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับ นปช. และการถูกกกระทำของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งมี นปช. เป็นหลังพิงให้
'วอยซ์ออนไลน์' จึงถือโอกาส ถอดบทเรียนที่ 'จตุพร' ได้เผชิญมาในรูปแบบการต่อสู้ภาคประชาชนคนเสื้อแดงของเขา พร้อมทั้งหาหนทางฝ่าทางตันการเมืองไทยภายใต้อนาคตที่ต้องอยู่ร่วมกับ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีนับจากนี้
เวลานั้น ผมเป็นรองโฆษกพรรคไทยรักไทย ก็โทรศัพท์ไปแจ้งผู้บริหารพรรคในรัฐบาลว่า มีการเคลื่อนกำลัง แต่ว่า พอไปตรวจสอบแล้วได้รับการรายงานว่าไม่มี ผมก็แจ้งจนเขารำคาญ ตอนเย็นพี่วีระ (วีระกานต์ มุสิกพงศ์) ชวนไปเตะฟุตบอลในค่ายทหารแข่งกับทหาร ในวันที่ 19 ก.ย. 49
พอเขาจะกินเลี้ยงกับทหารต่อตอนค่ำ ผมก็โทรศัพท์ เช็กข่าวบรรดาแม่ทัพนายกอง ถึงการยึดอำนาจ เขาก็บอกยึดเรียบร้อยแล้ว ก็เลยบอกพี่วีระไม่ต้องอาบน้ำแล้วออกจากค่ายทหารกันเถอะ (หัวเราะ)
"พัฒนาการของผู้ยึดอำนาจอย่าง คมช. เองก็กลายเป็น ผู้ที่เข้าใจประชาธิปไตยที่สุดคนหนึ่ง กลายเป็นคนที่อยู่ในสังคมกับคนที่ไม่เคยเห็นด้วยกับท่าน มากกว่าคนในสังคมที่ร่วมมือกับท่านใน พ.ศ.นั้นเสียด้วยซ้ำ"
นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อเวลาผ่านมา เนื่องจากคณะที่เขายึดอำนาจ เขาตั้งใจแค่นั้น จบลงตรงนั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้น ในแง่การต่อสู้เขามีระยะเวลาที่ชัดเจน เรื่องราวต่างๆในการกระทบกระทั่ง การต่อสู้ จึงไม่นำไปสู่การสูญเสีย ผมเชื่อว่า คณะยึดอำนาจอื่นๆ ก็ศึกษาบทเรียนจากคณะนี้และทุกคณะกันพอสมควร ครั้งนี้จึงได้เดินมายาวนานกว่า คมช.ในปี 2549 ได้ 4-5 เท่า
ความขัดแย้งมันเกิดมาก่อนหน้า วันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นกระบวนการ มีเรื่่องเกิดขึ้นแล้วใช้เป็นเหตุ เป็นทฤษฎีปกติ ที่ผ่านมาประเทศไทยก็ทำอย่างนั้น ให้มีเรื่องเพื่อกลายเป็นเหตุ แล้วก็ยึดอำนาจ
แต่บังเอิญว่า ครั้งนั้น ทั้งนายกฯและหัวหน้า คมช.เอง เขาตั้งใจอยู่แค่นี้ ไม่ไปไกลกว่านั้น แล้วพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นก็ลงตามเวลา บ้านเมืองก็เดินต่อไป แต่ยังไม่จบ แม้คืนอำนาจแล้ว การเมืองยังวนเวียนอยู่ที่เดิม ระหว่างทางก็ลุ่มๆดอนๆมาตลอด
นั่นคือบทเรียนของ 12 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ของบ้านเมืองนี้ ที่ควรจะทำให้เราไปข้างหน้า แต่กลายเป็นความล้าหลังอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อดูเรียงมาจากปี 2549-2557 ประเทศไทยอยู่ใน 'สังคมอกแตก' ไปไหนไม่ได้ ทั้งที่ประเทศไทยควรไปไกลกว่านี้ ความไม่มั่นคง ไม่มีเสถียรภาพทางการปกครอง จึงกลายเป็นปัญหาของประเทศไทย
ผมเชื่อว่า ถ้าการเริ่มต้นครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้อง ประเทศไทยเราจะมีเสถียรภาพ ฟื้นประเทศได้เร็ว ซึ่งเร็วที่ว่าก็ไม่รู้ว่า ต้องใช้เวลาเท่าไร 12 ปีที่ผ่านมาเป็นบทเรียนให้กับทุกเหตุการณ์ บอกเราว่า ไม่ควรเดินตามเส้นทางเดิม ในทุกๆด้าน มีปัญหาเต็มไปหมด ทุกฝ่ายได้รับบทเรียนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะจากมุมใดก็ตาม ดูเหมือนบางฝ่ายจะได้ แต่พอลึกลงไป ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ว่าทั้งหมด มันมีทั้งเสียทั้งได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีความเจ็บปวดกันมากมาย
ถ้าเป็นไปได้หากมี สัญญาประชาคม ให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ คนไทยจะมีความสุขมากที่สุด ทุกคนที่ใช้ชีวิตช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาเห็นปัญหาแล้ว เพียงแต่ใจจะกว้างหรือไม่ ต้องปลดล็อก คลายล็อกจิตใจให้ได้เสียก่อน เพราะมันถึงเวลาวางท่ากัน เพราะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะไปเจรจากันในเรือนจำกันดีหรือไม่ จะได้ไม่มีหัวโขน เป็นนักโทษเหมือนกัน
ผมไม่อยากให้เกิดเรื่อง เพราะรู้ชะตาตัวเองดี ถ้าเกิดเรื่องราวขึ้นในวันข้างหน้า ฉะนั้น จึงชวนหลีกเลี่ยงไม่ต้องการให้ใครตาย โดยเฉพาะประชาชน
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง คิดว่าจะอยู่ได้ ก็ไม่ไปยุ่ง เพราะยิ่งยุ่งมากจะอยู่ไม่นาน แต่ในทางปฏิบัติผลลัพธ์ตรงกันข้ามเสมอ ครั้งนี้คือโอกาสดี ทั้งที่ดูเหมือนไม่มีโอกาส ท่ามกลางวิกฤตินี้ โอกาสมันมีอยู่ทุกฝ่ายต้องเปิดประตูดูใจกัน ซีกการเมือง ซีกผู้มีอำนาจ คุยกันภายใต้หลักการตามพระกระแสรับสั่ง ผมเชื่อว่า จะแก้ปัญหาทุกเรื่องราวได้
ทุกเรื่องสังคมไทยไม่สามารถหักด้ามพร้าด้วยเข่าได้ ซีกการเมืองจะยากมากในทุกเรื่องที่เป็นปัญหา กติกายากไปหมด พร้อมจะหัวคะมำได้ตลอดเวลาจากกฎหมายที่หยุมหยิม
นายกฯที่จะมาจากการเลือกตั้งตามกระบวนการนี้ เหนื่อยทุกช่องทาง ทั้ง นายกฯคนนอก - คนใน จะอกแตกตายทั้งนั้น เพียงแต่เจอปัญหากันคนละแบบ ประเทศก็จะสาละวันเตี้ยลงทุกที ย่ำอยู่กับอดีตที่เราเหนือกว่าคนอื่น
หลายเรื่องราวก็ต้องยอมรับว่า เราเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ไม่ได้ หลายเรื่องที่ยังต้องเดินอยู่ก็ต้องเดินไป สิ่งที่ทำได้วันนี้คือ ให้บ้านเมืองเดินต่อไป โดยไม่มีคนตายเพิ่มขึ้นอีก แล้วประเทศก็จะอยู่ได้ นี่คือเป้าหมายหลัก
เรื่องอื่นก็ยังเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผมก็ต้องขึ้นศาลตามปกติ คดีความตามมาเป็นหางว่าว อายุที่เหลืออยู่ไม่รู้จะพอกับคดีหรือไม่ นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง
ถ้าเรานำแนวทางของในหลวง รัชกาลที่ 10 ทั้งสองเรื่อง คือ การสร้างความสามัคคีภายในชาติ กับความยุติธรรม ผมเชื่อว่า แก้ไขปัญหาชาติได้
ตามที่พระองค์ท่านตรัสผ่าน พล.อ.ประยุทธ์ และตรัสผ่านศาล เรื่องความสมัครสมานสามัคคีภายในชาติ 2 หัวข้อนี้จะเป็นหลักในการหาทางออกให้ชาติบ้านเมือง
เพราะว่า ถ้าน้อมนำพระราชดำรัส ทุกฝ่ายก็จะมีความสบายใจในการเริ่มต้น จะทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย
ผมเชื่อว่า ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา หยิกตรงไหน ก็เจ็บตรงนั้น ในเวทีปรองดองที่เคยไปคุย ผมบอกว่า นปช.เป็นองค์กรที่ตายมากที่สุด เจ็บมากที่สุด สูญเสียอิสรภาพมากที่สุด ได้รับความอยุติธรรมมากที่สุดเรายังเห็นด้วยกับการปรองดอง มิเช่นนั้นบ้านเมืองเดินต่อไปไม่ได้
ถ้าไม่คุยกันก่อนเลือกตั้ง ปรองดองไม่ได้หรอก เห็นกันมาแล้ว พยายามกันมาตั้งเท่าไร คุยเพื่อการเมืองด้วย และเพื่อปรองดองหลังเลือกตั้งด้วย ถ้าอัญเชิญพระราชดำรัสในหลวง ร.10 จะเป็นที่ยุติ ถ้าให้ทุกฝ่ายคิดกันเอง ปรองดองไม่ได้ อย่าให้ชาตินี้เลย ชาติหน้าก็ปรองดองไม่ได้ เพราะทุกคนมีหัวโขนที่ต้องแสดง ถ้าทำตามพระราชดำรัส จบ
ฉะนั้น ถ้าไม่คุยกันเลย ไม่ตกลงอะไรกันเลย ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ท้ายที่สุดก็จะเกิดเรื่องธรรมชาติแบบในอดีตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง