นายโสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด เปิดเผยผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยที่ซื้อขายในปี 2560 ที่่ผ่านมา พบว่า ตลาดที่อยู่อาศัยทั่วประเทศมีการซื้อขาย มูลค่ารวม 576,396 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ 113,280 ล้านบาท ถูกซื้อโดยชาวต่างชาติ หรือประมาณ 20% และหากประเทศไทยมีระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เช่น อัตรา 1% จะได้เก็บภาษีได้มากถึง 5,764 ล้านบาท 

ขณะที่ ชาวต่างชาตินิยมซื้อที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมากที่สุด โดยมีมูลค่าสูงสุดถึง 83,170 ล้านบาท จากมูลค่าการซื้อขายที่อยู่อาศัยทั้งหมด 415,852 ล้านบาท ณ ปี 2560 หรือประมาณ 20% ของทั้งหมด โดยในจำนวนนี้คิดเป็น 72% ของมูลค่าของที่อยู่อาศัยในปี 2560 ที่มีจำนวน 576,396 ล้านบาท

เมื่อเปรียบเทียบกับ 10 ปีก่อน ศูนย์ข้อมูลฯ พบว่าการซื้อขายที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครมีสัดส่วนเพียงครึ่งหนึ่งของทั่วประเทศ แต่ในภาวะที่เกิดการซบเซาในจังหวัดภูมิภาค จึงทำให้ส่วนแบ่งของเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

ในทำนองเดียวกันมูลค่าการซื้อขายที่อยู่อาศัยในปี 2560 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยชาวต่างชาติ 83,170 ล้านบาทนั้น คิดเป็น 74% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดทั่วประเทศที่ 113,280 ล้านบาท เพราะกรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่สำคัญที่ต่างชาติสนใจซื้อที่อยู่อาศัยมากที่สุดในประเทศไทย ส่วนอันดับสองของประเทศไทย คือเมืองพัทยา พบว่ามีการซื้อขายกันถึง 21,746 ล้านบาท หรือประมาณ 30% ที่ซื้อขายโดยชาวต่างชาติ 

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเมืองอันดับสองมีส่วนแบ่งการซื้อขายที่อยู่อาศัยทั่วประเทศเพียง 4% เท่านั้น ขณะที่มูลค่าการซื้อขายในพัทยาเป็นเพียงส่วนน้อย และขนาดตลาดที่อยู่อาศัยของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลใหญ่กว่าพัทยาถึง 19 เท่า อย่างไรก็ตาม หากรวมมูลค่าการซื้อขายของจังหวัดชลบุรีทั้งหมดจะมีมูลค่าขนาดใหญ่กว่านี้มาก

สำหรับเมืองอันดับสามคือภูเก็ต ซึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เป็นเมืองที่มีชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์มากที่สุดเป็นอันดับสอง ณ ปี 2560 มีต่างชาติซื้อรวมทั้งหมด 5,448 ล้านบาท จากที่มีการซื้อขายทั้งหมด 18,161 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ต่างชาติที่นิยมซื้อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มักเป็นชาวญี่ปุ่น ชาวยุโรป สแกนดิเนเวีย รัสเซีย และจีนในระยะหลัง ส่วนการให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไม่มีในข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ต่างชาติก็สามารถซื้อได้ แต่ถ้ามีการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาบำรุงประเทศ สิ่งที่ขาดคือระบบฐานข้อมูลการซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของประเทศไทยที่ควรปรับปรุง

สินเชื่อบ้านย่านอีอีซี ต้องใช้เวลาให้เห็นการลงทุนจริงก่อน

ด้านนายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันยังไม่มีการทำข้อมูลแยกให้เห็นชัดๆ ว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ปล่อยกู้ออกไปเป็นการกู้โดยคนไทยเท่าไร ต่างชาติเท่าไร แต่ในส่วนมูลค่าคงค้างของสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปี 2560 ที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโต 7% ส่วนปีนี้ คาดว่าจะ 7-10% ขณะที่สถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอลในกลุ่มสินเชื่อที่อยู่อาศัย ตอนนี้เริ่มลดลง และมีเสถียรภาพกว่าช่วงที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ตาม ในกรณีการขยายตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคตะวันออก เพื่อประเมินแนวโน้มการขยายตัวจากอานิสงส์การทำเขตพัฒนาเศณรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี นั้น โดยส่วนตัวคาดว่า ยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะ เพราะการที่สินเชื่อจะเกิดได้ ต้องมีคนมาลงทุนจริงๆ ก่อน แล้วสร้างโรงงาน แล้วมีคนย้ายเข้าไปทำงาน สินเชื่อจึงจะเกิดได้