ไช่อิง เหวิน ประธานาธิบดีไต้หวัน ออกแถลงการณ์เรียกร้องประชาชนอย่าตื่นตระหนก หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขไต้หวันยืนยันพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา ทุบสถิติที่ไต้หวันไร้ผู้ติดเชื้อในประเทศรอบ 8 เดือน
ผู้นำหญิงไต้หวัน ระบุตอนหนึ่งผ่านแถลงการณ์ว่า ขณะนี้สามารถระบุต้นต่อของเชื้อได้แล้ว จึงวอนขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกมากจนเกินไป อีกทั้งขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตราการป้องกันเชื้ออย่างเข้มงวด
"เป็นระยะเวลากว่า 250 วัน ที่ไต้หวันไร้กรณีติดเชื้อในประเทศ โควิด-19 ได้ปรากฏในไต้หวันอีกครั้ง และดิฉันเชื่อว่าเพื่อนร่วมชาติมีความกังวลกับเรื่องนี้อย่างมาก รมว.สาธารณสุข เฉินสือจง ให้ทุกคนทราบถึงกรณีติดเชื้อนี้แล้ว ดิฉันยังได้ให้ศูนย์บัญชาการควบคุมโรคกลับมาเข้มงวดและตื่นตัวต่อการรับมือนี้อีกครั้ง รวมถึงเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะมากที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก"
ผู้นำหญิงไต้หวันยังเตือนถึงการระบาดในระลอกใหม่ของชาติอื่นๆ ว่าอาจสร้างผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้นต่อไต้หวันในหลังจากนี้ รัฐบาลและประชาชนต้องร่วมมือกันเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านั้น เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างคริสต์มาส และปีใหม่ ซึ่งหน่วยงานท้องถิ่นบางพื้นที่ของไต้หวันประกาศยกระดับความเข้มงวดของการสวมหน้ากากในที่สาธารณะ รวมถึงมาตราการคุมระบาดในรูปแบบอื่นๆ โดยเธอยังแนะนำประชาชนใช้เวลาช่วงวันหยุด พักผ่อนอยู่บ้านเป็นทางเลือกดีที่สุด
สำหรับผู้ป่วยโควิดรายแรกรอบ 8 เดือนของไต้หวัน เป็นหญิงอายุ 30 ปี มีประวัติติดต่อกับนักบินชาวนิวซีแลนด์ ซึ่งทำงานให้กับสายการบินท้องถิ่นไต้หวัน โดยพบนักบินรายนี้ว่าตนเองติดเชื้อเมื่อ 20 ธ.ค. ที่ผ่านมา หลังทำการบินไปยังสหรัฐฯ
เหตุดังกล่าว สร้างความไม่พอใจต่อหน่วยงานท้องถิ่นนครเถาหยวนอย่างมาก เนื่องจากนักบินรายนี้ ไม่รายงานประวัติการเดินทางอย่างครบถ้วน และมีพฤติกรรมไม่สวมหน้ากากตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยท้องถิ่นไต้หวันเตรียมดำเนินการสั่งปรับเป็นจำนวนเงิน 300,000 ดอลลาร์ไต้หวัน หรือราว 320,000 บาท รวมถึงสร้างความม่พอใจให้กับชาวไต้หวันอย่างมาก โดยมีสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง รายงานข่าวประณามนักบินชาวนิวซีแลนด์ผู้นี้ว่าเป็นศัตรูสาธารณะ
หน่วยงานควบคุมโรคไต้หวันยัง ระบุว่า หญิงชาวไต้หวันที่ติดเชื้อ เป็นพนักงานของบริษัทในเครือของ Quanta Computer Inc โดย บริษัทประกาศใช้มาตรการเข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดทันที
ที่มา : Taiwannews