ที่โรงแรมโฆษะ จ.ขอนแก่น กลุ่ม ‘คนขอนแก่นปกป้องสถาบันฯ’ จัดงานเสวนา หัวข้อ 'สถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทย' โดยมี วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี, อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ สถาบันทิศทางไทย, ณัฐพงษ์ โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นวิทยากร
ช่วงหนึ่งของงานเสวนา วรงค์ กล่าวถึง 7 องค์กรที่เคลื่อนไหวทางการเมืองว่า ได้แก่ เยาวชนนิสิตนักศึกษา, กลุ่มอาจารย์, กลุ่มการเมืองที่ขึ้นต้นด้วยคำว่าก้าว, พรรคการเมือง, พรรคเพื่อไทย, สื่อมวลชน, และองค์กรรับเงินต่างประเทศว่า เขากำลังจับตามองและเตรียมดำเนินคดี ม.112 พร้อมย้ำว่าหากตนมีอำนาจ จะไม่ยอมให้ 7 องค์กรดังกล่าวเคลื่อนไหวในประเทศไทย
“ถ้าผมมีอำนาจในแผ่นดินนี้ องค์กรเหล่านี้ไม่มีทางที่จะได้มาเคลื่อนไหวในประเทศไทย เราต้องไม่ยอมให้องค์กรที่รับเงินต่างประเทศมาเคลื่อนไหวในประเทศไทย เพราะมันคือความมั่นคงของแผ่นดินนี้” วรงค์กล่าวบนเวทีเสวนา
วรงค์ กล่าวต่อว่า กรณีพรรคก้าวไกลยื่นญัตติขอแก้ไขมาตรา 112 ขณะนี้สำนักพระราชบัญญัติและญัตติของสภาผู้แทนราษฎร มีมติไม่บรรจุวาระดังกล่าว เนื่องจากญัตติดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ และล่าสุด ณฐพร โตประยูร ได้ยื่นฟ้องยุบพรรคก้าวไกลแล้ว
ทั้งนี้ในวันจันทร์ที่ 29 มีนาคม ทางณฐพร จะเดินทางไปยัง สน.ชนะสงคราม เพื่อยื่นฟ้องต่อ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กรณีมีภาพปรากฏในที่ชุมนุมกลุ่มคณะราษฎร
25 มีนาคม 2564 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กแฟนเพจว่า หลังพรรคก้าวไกลเสนอร่างกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพการแสดงออกและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน 5 ฉบับเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ทางกลุ่มงานพระราชบัญญัติและญัตติ 1 สำนักการประชุม สภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหนังสือบันทึกข้อความมายังพรรคก้าวไกลว่า การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อให้มีการยกเว้นความผิดและการยกเว้นโทษต่อความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์นั้น“เป็นการขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญมาตรา 6” ซึ่งบัญญัติว่า“องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้”
พรรคก้าวไกลยืนยันยื่นร่าง พ.ร.บ ฉบับเดิมเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร และได้ทำหนังสือตอบกลับความเห็นดังกล่าวเพื่อชี้แจงว่า การแก้ไขมาตรา 112 โดยบัญญัติให้มีการยกเว้นความผิดและการยกเว้นโทษว่า “ผู้ใดติชม แสดงความคิดเห็น หรือแสดงข้อความใดโดยสุจริต เพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ผู้นั้นไม่มีความผิด” และ“ความผิดฐานในลักษณะนี้ ถ้าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดพิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นความผิดนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ห้ามมิให้พิสูจน์ถ้าข้อที่กล่าวหาว่าเป็นความผิดนั้นเป็นเรื่องความเป็นอยู่ส่วนพระองค์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัว แล้วแต่กรณี และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน” นั้น ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติในมาตรา 6 แต่อย่างใด
ทั้งนี้ก็เพราะบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่ว่า“องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ” นั้น มีความมุ่งหมายเพียงเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติให้แก่องค์พระมหากษัตริย์ ส่วน “ผู้ใดจะละเมิดมิได้” นั้น มิได้หมายถึงการห้ามแสดงความคิดเห็นต่อองค์พระมหากษัตริย์ แต่หมายความว่า พระมหากษัตริย์ไม่อาจถูกกล่าวหาหรือฟ้องร้องได้ ดังที่ได้ขยายความให้ชัดเจนไว้ในบทบัญญัติมาตราเดียวกันว่า“ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้” ฉะนั้น ความเห็นของกลุ่มงานพระราชบัญญัติและญัตติ 1 จึงเป็นการตีความเกินตัวบทและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ไม่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญและกฎหมายของไทย รวมทั้งไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
พิธา อธิบายต่อไปว่า ฐานะอันเป็นที่เคาระสักการะขององค์พระมหากษัตริย์ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนั้น จะต้องตีความภายใต้กรอบและหลักการของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการถวายพระเกียรติในฐานะที่เป็นประมุขของรัฐในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งพระองค์ทรงเป็นกลางทางการเมือง ไม่ทรงกระทำการใดในทางการเมืองและในการปกครองด้วยพระองค์เอง ตามหลัก “พระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดไม่ได้” (The King Can Do No Wrong) ซึ่งจะทำให้องค์พระมหากษัตริย์ปลอดพ้นจากการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน
ในแง่พัฒนาการทางกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มีต้นแบบมาจากกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 มาตรา 98 ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทั้งนี้ บทบัญญัติตามมาตรา 98 ร่างขึ้นมาโดยอิงจากกฎหมายของอังกฤษ ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายลักษณะนี้ของอังกฤษและประเทศอื่นที่มีระบบกษัตริย์ได้ลดน้อยลงตามพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย จนปัจจุบันไม่มีการบังคับใช้แล้วในหลายประเทศ เพราะรัฐในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ต้องมุ่งประกันเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน แม้ว่าในรัฐธรรมนูญของหลายประเทศยังมีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกับมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญไทยอยู่ก็ตาม
ดังนั้น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งสืบทอดมาจากกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 มาตรา 98 ตั้งแต่ก่อนที่สยามจะมีรัฐธรรมนูญ จึงไม่ได้บัญญัติขึ้นมาเพื่อทำให้บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้พระมหากษัตริย์มีฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ มีสภาพบังคับแต่อย่างใด การตีความประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตามความเห็นของกลุ่มงานพระราชบัญญัติและญัตติ 1 ให้เชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6 จะยิ่งส่งผลให้การบังคับใช้มาตรา 112 มีลักษณะคลุมเครือและขยายความกว้างขวางเกินกรอบของฐานความผิดในกฎหมายอาญาตามปกติ นําไปสู่ความไม่แน่นอนของฐานความผิดนี้ในกระบวนการยุติธรรม
นอกจากนี้ หากพิจารณาจากประวัติศาสตร์ทางกฎหมายของไทย ประมวลกฎหมายอาญาในปัจจุบันนั้น สืบทอดและปรับปรุงมาจากกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ซึ่งตราขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อย่างไรก็ดี หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ยังคงบังคับใช้อยู่ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีการปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัย ประเด็นหนึ่งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ใน พ.ศ. 2478 ให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย คือ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 104 ให้มีบทบัญญัติยกเว้นความผิดแม้จะเป็นฐานความผิดเกี่ยวกับการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ หากเป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าว เกิดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 อันมีบทบัญญัติตามมาตรา 3 ความว่า “องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” แล้ว
เพราะฉะนั้น เมื่อพิจารณาจากทั้งบทบัญญัติ เจตนารมณ์ และประวัติศาสตร์ของกฎหมายและรัฐธรรมนูญไทยแล้ว พรรคก้าวไกลจึงเห็นว่า การแก้ไขมาตรา 112 ให้มีบทบัญญัติยกเว้นความผิดและยกเว้นโทษ ไม่ได้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6 การตีความบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายเพื่อรักษาพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ จะต้องสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย ได้สัดส่วนระหว่างการคุ้มครองประมุขของรัฐกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน