โฆษกกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ ระบุว่าสหรัฐฯ มีความกังวลต่อกรณีที่รัฐบาลฟิลิปปินส์สั่งปิด ABS-CBN หนึ่งในสถานีโทรทัศน์ที่ใหญ่ที่สุดของฟิลิปปินส์ โดยระบุว่าสื่ออิสระมีบทบาทสำคัญต่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดอย่างเปิดเผย ซึ่งมีความสําคัญต่อสังคมประชาธิปไตยที่มีเสรีภาพ รุ่งเรืองและมั่นคง และเสรีภาพสื่อยังมีความสำคัญมากต่อการส่งเสริมด้านสาธารณสุขในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก
ABS-CBN ถูกสั่งให้ยุติการออกอากาศหลังจากไม่สามารถต่อใบอนุญาตในการประกอบกิจการได้ เนื่องจากโรดริโก ดูแตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์พยายามขัดขวางการต่อใบอนุญาต จากกรณีที่สถานีดังกล่าววิพากษ์วิจารณ์นโยบายสงครามต่อต้านยาเสพติด และที่ผ่านมา ดูแตร์เตมักโจมตีสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ว่าไม่ยอมฉายโฆษณาแคมเปญเลือกตั้งประธานาธิบดีของเขาเมื่อปี 2559 แม้จะได้รับเงินไปแล้ว
หลังจากที่ ABS-CBN ยุติการออกอากาศทางโทัศน์ สถานีก็ได้ออกอากาศบนโซเชียลมีเดียโดยมีคนดูบนเฟซบุ๊ก 8 ล้านวิว และบนยูทูบอีก 784,000 วิวและมียอดผู้ติดตามรวม 9.16 ล้านบัญชี อย่างไรก็ตามบริษัทเปิดเผยว่าสูญเสียรายได้ไปมากถึง 35 ล้านเปโซ (22.5 ล้านบาท) ต่อวันที่ต้องหยุดออกอากาศ
ฟิลิปปินส์เคยอยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐฯ และยังเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ อยู่ แต่ความตึงเครียดระหว่างประเทศเริ่มเพิ่มขึ้น หลังจากที่ดูแตร์เตประกาศนโยบายทำสงครามปราบปรามยาเสพติดที่เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันราย เขามักมีท่าทีแข็งกร้าวต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของต่างชาติ และสั่งห้ามไม่ให้คนในคณะรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนสหรัฐฯ หลังจากที่อดีตผู้บัญชาการตำรวจของฟิลิปปินส์เปิดเผยว่าเขาถูกยกเลิกวีซ่าเข้าสหรัฐฯ
เมื่อ ก.พ.ที่ผ่านมา ดูแตร์เตยังขอยกเลิกความตกลงกองกำลังหมุนเวียน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือที่สำคัญด้านกลาโหมระหว่างฟิลิปปินส์และสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่าการยกเลิกข้อตกลงด้านกองกำลังจะช่วยให้สหรัฐฯ ประหยัดเงินและยังชื่นชมแคมเปญปราบปรามยาเสพติดของฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจุดยืนอย่างสิ้นเชิงจากสมัยของบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนก่อน
ที่มา: Japan Times, Bloomberg