ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 โดยระบุว่า ‘ฮั้ว สว.’ กินรวบประเทศไทย
ทั้งเรื่องเขากระโดง และ ฮั้ว ส.ว. กลายเป็นประเด็นหลักในการอภิปราย 2 วันในสภา ที่มีนายกฯ อนุทิน นำเสนอนโยบายบริหารประเทศ หากเทียบกัน 2 เรื่อง ผมมีความเห็นว่า “ฮั้ว สว.” มีความซับซ้อนกว่าอยู่มาก เพราะเขากระโดงมีผลสรุปจากศาลถึง 3 ศาล ตั้งแต่ศาลชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา ไปจนถึงศาลปกครอง และ ป.ป.ช. อย่างเดียวที่ทำได้ คือ “ซื้อเวลาไปเรื่อยๆ“ การบังคับใช้กฎหมาย กลับกลายเป็นเรื่องการเมือง โยนกันไปมาเหมือนเด็กเล่นขายของ
แต่เรื่อง “ฮั้ว ส.ว.“ หนักกว่ามาก เพราะเป็นการวางแผน “กินรวบประเทศไทย“ ส่งผลถึงการคัดเลือกองค์กรกลางต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจมากมาย ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญเอง ป.ป.ช. กกต. และอื่นๆ อีกมาก ที่ต้องผ่านมติเห็นชอบของ ส.ว. ใครจะขึ้นตำแหน่งสำคัญต่างๆ จึงต้องผ่าน ส.ว. โดยทั้งสิ้น ผลกระทบเป็นวงกว้าง หาก ส.ว. ไม่เป็นอิสระ มีคนกดรีโมทสั่งการได้ ก็เท่ากับควบคุมระบบกลไกของรัฐได้หมด แม้แต่รัฐธรรมนูญ
เมื่อกลไกในการตรวจสอบรัฐบิดเบี้ยว สามารถบงการชี้ให้ซ้ายหันขวาหันได้ อันนี้ถือเป็นอันตรายใหญ่หลวงกว่าเขากระโดงหลายร้อยเท่า เอกสารนี้เป็นการสรุปพฤติกรรม การเชื่อมโยง วิธีการทำงานของแต่ละบุคคล รวมถึงพรรคที่เกี่ยวข้อง บรรดา ส.ส. ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน หรือฝ่ายแค้น ไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเพียง “คดีแลกเปลี่ยนผลประโยชน์” ของนักการเมือง
นี่ต่างหากคือสิ่งสำคัญเร่งด่วนกว่าการแก้รัฐธรรมนูญ ยิ่งเมื่อ ส.ว. ถูกสั่งได้ แล้วจะแก้รัฐธรรมนูญได้หรือ? ส้มกับแดงควรรู้ว่าจะทำอะไรให้กับประเทศ เพื่ออนาคตของประเทศ ไม่ใช่เอาแต่พูดดูดีในสภา แต่เมื่อถึงเวลาไปกดปุ่ม “งดออกเสียง” ประชาชนคนทั่วไปจะได้รู้ว่า ใครทำอะไรไว้กับบ้านเมืองนี้
ฝ่ายค้านกินภาษีอากรของประชาชน ส่วนผมไม่ได้เป็น ส.ส. นะครับ แต่เรื่องนี้หากผมมีข้อมูลขนาดนี้ เป็นฝ่ายค้านแค่คนเดียว แค่ผลักเบาๆ รัฐบาลก็ล้มแล้ว ไม่ต้องไปรอถึง 4 เดือนให้เสียของ
สำหรับเอกสารที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เผยแพร่ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก มีดังนี้