นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า การฝากครรภ์เป็นจุดเริ่มต้น แห่งการพัฒนาคุณภาพประชากรจึงควรปฏิบัติตามแนวทางพื้นฐานของการตั้งครรภ์ โดยฝากก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ และในกรณีที่ไม่มีความเสี่ยงใดๆ ตลอดอายุครรภ์ต้องฝากครรภ์อย่างน้อย 5 ครั้ง และได้รับการดูแลหลังคลอดไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ซึ่งจากข้อมูล Health Data Center (HDC) ได้ตั้งเป้าหมายในเรื่องของหญิงตั้งครรภ์ ที่ไปรับบริการฝากครรภ์ และได้รับดูแลหลังคลอดอยู่ที่ 75% แต่พบว่ามีการฝากครรภ์ก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์อยู่ที่ 75.6% ฝากครรภ์ครบ 5 ครั้ง มีเพียง 66.27% และได้รับการดูแลหลังคลอดไม่น้อยกว่า จำนวน 3 ครั้ง มีเพียง 52.55% ซึ่งยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายในทุกด้าน
อีกทั้งจากสถานการณ์แนวโน้มอัตราส่วนการเสียชีวิตของหญิงตั้งครรภ์ จากระบบเฝ้าระวังของสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 พบว่า หญิงตั้งครรภ์เสียชีวิตจากการตั้งครรภ์และคลอดอยู่ที่ 22.5% ต่อแสน การเกิดมีชีพ โดยแบ่งเป็นเสียชีวิตจากสาเหตุทางตรงที่มีสาเหตุมาจากโรคแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ระหว่าง การคลอด และระยะหลังคลอด ซึ่งพบว่าการตกเลือดหลังคลอดสูงถึง 66% เนื่องจากมดลูกไม่หดรัดตัวและ ที่พบบ่อยรองลงมาคือภาวะรกเกาะติด 28% เกิดจากการผ่าตัดคลอดซ้ำในการตั้งครรภ์ครั้งก่อนหรืออาจเกิดจากการทำหัตถการ การไม่ได้รับการรักษาดูแลที่ถูกต้อง ในส่วนของหญิงตั้งครรภ์ที่เสียชีวิตจากสาเหตุทางอ้อมนั้น ส่วนมากเสียชีวิตจากโรคประจำตัวของหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นมาแต่ก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุ การเสียชีวิตของหญิงตั้งครรภ์อื่น ๆ อาทิ การล่าช้าจากการได้รับบริการที่ถูกต้องจากบุคลากร ยา คลังเลือด และระบบส่งต่อต่าง ๆ การตัดสินใจไม่เข้ารับบริการของหญิงตั้งครรภ์หรือการฝากครรภ์ล่าช้า และการเดินทางหรือ การเข้าถึงสถานพยาบาลที่ยากลำบาก
“ทั้งนี้ มาตรการสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานในระดับประเทศเพื่อลดอัตราหญิงตั้งครรภ์เสียชีวิตจากการตกเลือดนั้น กรมอนามัยได้จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายผ่านระบบตรวจราชการในการขับเคลื่อนงาน 4 ประเด็นดังนี้ 1. การดำเนินงานเฝ้าระวังเชิงรุกผ่านระบบเฝ้าระวัง ทบทวนและวิเคราะห์สาเหตุการเสียชีวิตของหญิงตั้งครรภ์ โดยมีศูนย์อนามัยเขตทำหน้าที่เป็นศูนย์เฝ้าระวังมารดาตายใน 12 เขตสุขภาพ 2. การคัดกรองค้นหาหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอดและมีโอกาสเกิดภาวะรกเกาะแน่น มีการวางแผนและ เตรียมความพร้อมในการคลอดและดูแลหลังคลอดเป็นรายบุคคล 3. การดำเนินงานตามมาตรฐานงานอนามัย แม่และเด็กและเครือข่ายบริการสุขภาพระดับจังหวัด เพื่อให้ระบบบริการพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ใช้หลักการดูแลแบบไร้รอยต่อ และ 4).กำหนดแนวปฏิบัติเพื่อลดการผ่าตัดคลอดโดยไม่จำเป็น ซึ่งมีความร่วมมือระหว่างกรมอนามัย กรมการแพทย์และราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว