กัว ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีที่มีความมั่งคั่งที่สุดในไต้หวัน มีความทะเยอทะยานทางการเมืองมายาวนาน และลาออกจากฟ็อกซ์คอนน์ ในปี 2562 เพื่อความพยายามในการได้รับการเสนอชื่อ ให้เป็นตัวแทนลงรับเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันของพรรคฝ่ายค้านหลักอย่างพรรคก๊กมินตั๋ง ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด
อย่างไรก็ดี กัวแพ้การได้รับเลือกเป็นตัวแทนจากพรรคก๊กมินตั๋ง ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันที่จะถึงในช่วงต้นปีหน้า โดยพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งถูกมองว่ามีความใกล้ชิดกับรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนในกรุงปักกิ่ง ได้เลือก โหวโหยวยี่ นายกเทศมนตรีเมืองนิวไทเป ขึ้นเป็นตัวแทนพรรคในการรับเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันแทน
“ผมตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2567” กัวกล่าวในงานแถลงข่าว ทั้งนี้ เขาจะต้องรวบรวมรายชื่อประชาชนจำนวน 290,000 ลายเซ็น ภายในวันที่ 2 พ.ย.ที่จะถึงนี้ จึงจะส่งผลให้เขามีคุณสมบัติเป็นผู้สมัครอิสระ นอกจากนี้ กัวยังได้จัดกิจกรรมในรูปแบบการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทั่วไต้หวันในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาอย่างแข็งขัน
ทั้งนี้ กัวกล่าวหาพรรครัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ซึ่งชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีไปใน 2 ครั้งที่ผ่านมา ว่าเป็นผู้ที่นำ “ไต้หวันเข้าไปสู่อันตรายของสงคราม” และกัวยังได้กล่าวว่านโยบายภายในประเทศของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าก็มีข้อผิดพลาดเช่นกัน
“ให้เวลาผม 4 ปี และผมสัญญาว่าจะนำสันติภาพ 50 ปีมาสู่ช่องแคบไต้หวัน และสร้างรากฐานที่หยั่งรากลึกที่สุดสำหรับความไว้วางใจซึ่งกันและกันข้ามช่องแคบ” กัวกล่าวเพื่อวิงวอนต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้สนับสนุนเขา “ไต้หวันจะต้องไม่กลายเป็นยูเครน และผมจะไม่ปล่อยให้ไต้หวันกลายเป็นยูเครนรายต่อไป”
ในอีกทางหนึ่ง ไล่ชิงเต๋อ หรือ วิลเลียม ไล่ รองประธานาธิบดีไต้หวันคนปัจจุบัน ได้รับเลือกให้เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันคนต่อไปจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า และยังมีคะแนนนิยมนำหน้าผู้ท้าชิงคนอื่นๆ ตามมาด้วยโหวจากพรรคก๊กมินตั๋งในอันดับที่ 3 รองจาก โกเหวินเจ๋อ อดีตนายกเทศมนตรีกรุงไทเป จากพรรคขนาดเล็กอย่างพรรคประชาชาไต้หวันในอันดับที่ 2
รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนในกรุงปักกิ่ง ได้เพิ่มความพยายามในการโดดเดี่ยวไต้หวันออกจากประชาคมระหว่างประเทศ และสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลไต้หวัน นับตั้งแต่ ไช่อิงเหวิน ประธานาธิบดีไต้หวันคนปัจจุบัน ที่กำลังจะหมดวาระลงจากตำหแน่ง ได้รับเลือกครั้งแรกในปี 2559 ทั้งนี้ จีนกล่าวหาไช่ว่าเป็น “ผู้แบ่งแยกดินแดน” และจีนยังได้จัดการซ้อมรบทางทหารเป็นประจำ ในบริเวณใกล้ๆ และรอบๆ เกาะไต้หวัน เพื่อแสดงความต่อต้านต่อการปกครองไต้หวันของไช่ และยืนยันการอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือเกาะแห่งนี้
ในทางตรงกันข้าม ในงานแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ (25 ส.ค.) พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้ากล่าวว่า ประชาชนไต้หวันควรเป็นผู้ตัดสินใจอนาคตของตัวเอง โดยไล่เน้นย้ำถึงสถานะของไต้หวันในฐานะ “ประเทศที่มีอำนาจอธิปไตย” และกล่าวหาจีนว่าสร้างความตึงเครียดทั่วช่องแคบไต้หวัน
“ไต้หวันจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี สมาชิกสภานิติบัญญัติ เจ้าหน้าที่ นายกเทศมนตรี และผู้นำรัฐบาลท้องถิ่นเป็นประจำ และการเลือกตั้งเหล่านี้ได้รับใช้พี่น้องประชาชน ดังนั้น ผมคิดว่านี่แสดงให้เห็นว่าไต้หวันเป็นประเทศที่มีอำนาจอธิปไตย” ไล่กล่าว “นี่คือข้อเท็จจริง นี่คือความจริง”
ความคิดเห็นของไล่มีขึ้น ในขณะที่จีนวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ที่ทำการขายอาวุธให้แก่ไต้หวันอีกครั้ง ซึ่งเป็นการซื้อขายอาวุธที่คิดเป็นมูลค่ากว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.76 หมื่นล้านบาท) ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีการทหาร อาทิ ระบบค้นหาและติดตามอินฟราเรดสำหรับเครื่องบินรบ F-16 ของไต้หวัน
แม้ว่าสหรัฐฯ จะไม่รับรองไต้หวัน หรือ สาธารณรัฐจีน ซึ่งเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศ ว่าเป็นประเทศอย่างเป็นทางการ แต่สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในพันธมิตรแนวหน้า และผู้สนับสนุนหลักด้านความมั่นคง ไต้หวัน ผ่านการซื้อขายอาวุธจากสหรัฐฯ เป็นประจำ เพื่อป้องปรามการกระทำทางทหารของจีน
อย่างไรก็ดี สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ให้คำมั่นสัญญาว่า จีนคอมมิวนิสต์จะฟื้นฟูไต้หวันให้กลับมาอยู่กับ “มาตุภูมิ” ภายในปี 2592 และสีไม่ได้ปฏิเสธการใช้กำลังเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
ที่มา: