เมื่อเดือนที่แล้ว ฮุนมาเนต ในวัย 45 ปี ซึ่งได้รับการศึกษาตามแบบตะวันตก เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาต่อจากฮุนเซน หลังจากพรรคการเมืองของฮุนเซนชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ด้วยการประกาศห้ามและตัดคุณสมบัติพรรคฝ่ายค้าน ในการลงแข่งขันรับการเลือกตั้งจากประชาชนกัมพูชา
ฮุนมาเนต กล่าวในการประชุมธุรกิจของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ในกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซียว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กัมพูชาได้เปิดตัววิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจระดับชาติที่มีความครอบคลุม เพื่อ "ปกป้องธรรมชาติของสันติภาพที่ได้มาอย่างยากลำบาก และเร่งการพัฒนาประเทศเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ของการก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2593"
วิสัยทัศน์ของฮุนมาเนตดังกล่าว เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทุนทางมนุษย์ เศรษฐกิจดิจิทัล ตลอดจนการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและความยั่งยืน ทั้งนี้ ฮุนมาเนตเรียกวิสัยทัศน์ดังกล่าวของเขาว่าเป็น "กลยุทธ์ห้าเหลี่ยม" เพื่อการพัฒนากัมพูชา ซึ่งเคยประสบกับสงครามกลางเมืองกว่าหลายทศวรรษ โดยฮุนมาเนตระบุว่าปัจจุบันนี้ กัมพูชาได้พัฒนามาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับล่าง ซึ่งมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 7%
ฮุนมาเนตแถลงถึงเป้าหมายการพัฒนากัมพูชา ก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียนประจำปีในวันอังคาร (5 ก.ย.) พร้อมกันนี้ ฮุนมาเนตยังได้เน้นย้ำถึงการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่เข้มข้นขึ้นในหมู่ชาติมหาอำนาจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของกัมพูชากล่าวว่า ชาติมหาอำนาจต่างๆ กำลังสร้างแรงกดดันต่อ “สันติภาพ ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรืองสำหรับอาเซียนโดยรวม”
ฮุนมาเนตกล่าวเสริมอีกว่า “สงครามไม่สามารถยุติได้ด้วยสงคราม” โดยฮุนมาเนตเรียกร้องให้อาเซียนและประชาคมระหว่างประเทศ ร่วมกันต่อต้านการคุกคามโดยใช้กำลังต่อรัฐอธิปไตย และกล่าวว่าอาเซียนและสหประชาชาติ จะต้อง “ยึดมั่นในจิตวิญญาณแห่งเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และการไม่แทรกแซง"
ก่อนหน้านี้ รัฐสภากัมพูชาอนุมัติให้ ฮุนมาเนต ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่ ฮุนเซน พ่อของเขา ปกครองกัมพูชามาเกือบ 4 ทศวรรษ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักวิเคราะห์กล่าวว่าส่งผลให้กัมพูชามีการปกครองเป็นเผด็จการ เกิดการปราบปรามฝ่ายค้านทางการเมือง และการปิดสื่อมวลชนเสรีที่มากขึ้น
ทั้งนี้ ฮุนเซน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำรัฐบาลที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดในโลก กล่าวว่า เขาคาดหวังให้ลูกชายของเขาสานต่อรูปแบบความเป็นผู้นำของเขา และตัวเขาเองจะยังคงอยู่ในแวดวงการเมืองของกัมพูชาต่อไป
ที่มา: