ศาตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจมหภาค กล่าวถึง การที่ค่าเงินบาทแข็งมากเกินไป (แข็งกว่าอินเดีย 2.58 เท่า แข็งกว่าเวียดนาม1.6 เท่า และแข็งกว่าทุกประเทศในโลก 25-60% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา) อันเนื่องมาจากนโยบายของแบงค์ชาติ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยไม่เจริญเติบโตแล้ว ยังมีผลให้ราคาสินค้าเกษตรที่ผลิตและขายในประเทศตกต่ำลงด้วย
ทั้งนี้ เพราะราคาสินค้าเกษตรนำเข้า เช่น ข้าวโพด, ข้าวฟ่าง, ข้าวสาลี พืชผักผลไม้ ในรูปเงินบาทมีราคาถูกลง อันเนื่องมาจากเราใช้เงินบาทน้อยลงไปแลกเงินดอลล่าร์ เพื่อซื้อสินค้านำเข้าเหล่านี้ ราคาสินค้าเกษตรนำเข้าที่ถูกลง จึงไปกดราคาสินค้าเกษตรที่เราผลิตในประเทศให้ต่ำลงไป ซึ่งทำให้เกษตรกรกว่า 8.8 ล้านครัวเรือน มีรายได้ลดลงและยากจนเพิ่มขึ้น
รัฐบาลมักแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ด้วยการห้ามนำเข้าสินค้าเหล่านี้ เป็นช่วงๆ เช่น ช่วงที่มีการเก็บเกี่ยว และใช้เงินงบประมาณมาชดเชยราคาสินค้าเกือบทุกชนิดทุกๆ ปี
ความจริง แค่เราปรับค่าเงินบาทให้อ่อนลงหน่อย ก็จะสามารถแก้ไขราคาสินค้าเกษตรในประเทศให้ดีขึ้นได้ทุกชนิด โดยแทบไม่ต้องใช้เงินภาษีมาอุดหนุนเลย
ปัจจุบันแบงค์ชาติปล่อยให้เงินบาทแข็งมากเกินพื้นฐาน สวนทางกับเศรษฐกิจไทยที่ไม่เจริญเติบโต ด้วยมาตรการที่แบงค์ชาติสร้างขึ้นมาเอง คือ
(1)ทำให้ดอกเบี้ยไทยที่แท้จริงสูงเกินไป ปริมาณเงินบาทในระบบเศรษฐกิจจึงมีน้อยเกินไป
(2) แบงค์ชาติยังปล่อยให้ต่างชาติ นำเงินตราต่างประเทศเข้ามาเก็งกำไรในตลาดทุน ซึ่งทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
เพราะแบงค์ชาติไม่เพิ่มปริมาณเงินบาทตามจำนวนเงินตราต่างประเทศที่เข้ามา โดยเกรงกลัวเงินเฟ้อ ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเงินฝืด
จึงเกิดเหตุการณ์ที่ว่าเงินตราต่างประเทศไหลเข้ามาแล้ว เงินบาทก็แข็งค่าขึ้น ไปทำให้สินเกษตรที่ผลิตและขายในประเทศมีราคาตกต่ำลง คนส่วนใหญ่ยากจนลง และอัตราการเพิ่มของ GDP ตกลง
'กระทรวงการคลังต้องรีบแก้ไขครับ หากปล่อยไปอย่างนี้ เราจะไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ และยังต้องเอาเงินภาษีไปชดเชยราคาสินค้าที่ตกต่ำมากมาย รัฐบาลเองก็จะฟื้นเศรษฐกิจได้ยากขึ้นเรื่อยๆ' ดร.สุชาติกล่าว