ไม่พบผลการค้นหา
สองประเทศมหาอำนาจ 'สหรัฐฯ-จีน' เร่งเดินหน้าเจรจาข้อตกลงยุติสงครามการค้า

สหรัฐฯ และจีนกำลังเดินหน้าเข้าสู่การบันทึกข้อตกลงประเด็นสงครามการค้าที่อาจนำมาซึ่งการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทิ้งทั้งหมด หากรัฐบาลจีนยินยอมที่จะทำตามข้อตกลงของสหรัฐฯ ไล่ตั้งแต่การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาที่ดีขึ้น ไปจนถึงการซื้อผลิตภัณฑ์จากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น

เจ้าหน้าที่จีนยืนยันชัดเจนท่ามกลางการเจรจาในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่าหากสหรัฐฯ ยกเลิกการเรียกเก็บภาษีนำเข้ามูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 6.36 ล้านล้านบาทต่อสินค้าจีนอย่างรวดเร็วจะถือเป็นปัจจัยสำคัญในการปิดข้อตกลงใดๆ ก็ตาม โดยภาษีมูลค่า 6.36 ล้านล้านบาท เป็นจำนวนที่รัฐบาลของทรัมป์เรียกเก็บหลังรัฐบาลจีนต่อต้านการเรียกเก็บภาษี 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.59 ล้านล้านบาทจากสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้าระหว่างสองประเทศที่ดำเนินมาเป็นระยะเวลา 8 เดือนแล้ว 

ประเด็นสำคัญที่น่าจับตามองที่สุดในขณะนี้คือ จะมีการยกเลิกการเก็บภาษีในทันทีหรือเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้สหรัฐฯ มีเวลาในการจับตามองจีนว่าจะปฏิบัติตามข้อตกลงหรือไม่

ข้อเสนอของจีน

รัฐบาลจีนยื่นขอเสนอในการลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร เคมี รถยนต์ และสินค้าอื่นๆ ของหสรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลจีนสัญญาที่จะซื้อก๊าซธรรมชาติมูลค่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 5.7 แสนล้านบาท จากบริษัทเชอเนียร์ เอนเนอร์จี 

จากส่วนหนึ่งของข้อตกลง รัฐบาลจีนกำลังพยายามเร่งพิจารณายกเลิกข้อจำกัดในการเป็นเจ้าของร่วมในการลงทุนของชาวต่างชาติในอุตสาหกรรมรถยนต์จีน รวมถึงลดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ต่างประเทศให้ต่ำกว่าอัตราปัจจุบันประมาณร้อยละ 15

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานเมื่อวันศุกร์ (1 มีนาคม) ที่ผ่านมาว่า สหรัฐฯและจีนใกล้บรรลุข้อตกลงสงครามการค้าได้แล้ว โดยทรัมป์และทีมเศรษฐกิจมีท่าทีในทิศทางบวก ในขณะเดียวกันหุ้นของสหรัฐฯ ก็กลับมาดีขึ้นหลังตกลงอย่างหนักในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

สำหรับประเด็นการยืดเวลาการขึ้นภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 ซึ่งแต่เดิมมีกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 1 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา ปัจจุบันทรัมป์ได้ยืดเวลาออกไปอีกครั้ง แต่ยังไม่ได้ระบุวันที่แน่ชัดว่าจะมีผลบังคับใช้ถึงเมื่อใด โดยทรัมป์กล่าวว่ารัฐบาลจีนต้องกำจัดภาษีต่างๆ ที่สหรัฐฯ ต้องแบกรับอยู่ทั้งหมดด้วย

อ้างอิง; CNN, Bloomberg

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: