อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวในงานเสวนาที่ปุตราจายา พร้อมกันกับนักการเมืองคนอื่นๆ เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (4 มี.ค.) ว่า ชาวมาเลย์ในมาเลเซียมีสถานะ “การควบคุมทางเศรษฐกิจที่หลุดไปจากมือมานานแล้ว” และชาวมาเลเซียเชื้อสายมาเลเย์กำลังเสี่ยง ที่จะสูญเสียอำนาจในทางการเมืองของประเทศไปด้วยเช่นกัน
สื่อของมาเลเซียรายงานว่า มหาเธร์ระบุในงานเสวนาว่า มาเลเซียจะกลายมาเป็นประเทศที่มีลักษณะคล้ายกันกับสิงคโปร์ ภายในระยะเวลา 2 รอบการเลือกตั้งข้างหน้า โดยมหาเธร์อ้างว่า รัฐบาลมาเลเซียชุดปัจจุบันสามารถกำหนดขอบเขตการเลือกตั้งใหม่ ในลักษณะการลดเขตการเลือกตั้ง ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลย์ในประเทศ
“ในระดับหนึ่ง สถานการณ์นี้จะเปลี่ยนรูปแบบของรัฐบาลที่มีอยู่ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 16 และสถานการณ์จะแย่ลงในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 17” มหาเธร์กล่าวโดยอ้างถึงการเลือกตั้งทั่วไปของมาเลเซียในอีก 2 ครั้งถัดไป ที่จะมีขึ้นในช่วงเวลาทศวรรษหน้า
“ไม่มีการรับประกันว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นชาวมาเลย์ เพราะใครๆ ก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แม้กระทั่งตอนนี้ พรรคมลายูในรัฐบาลยังไม่มีอำนาจและแบ่งออกเป็น 3 พรรค” อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียระบุ “ผมมั่นใจว่าถ้าเราไม่ระวังในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะมาถึง และถ้าคะแนนเสียงถูกซื้อ เราจะเลือกคนไม่ดีและพวกเขาจะเข้ามาจำนองประเทศของเรา”
ปัจจุบัน หลังจากแพ้การเลือกตั้งคาบ้านตัวเอง มหาเธร์ในวัย 97 ปี กำลังเป็นที่ปรึกษาของพรรคภูมิบุตรเปอร์กาซามาเลเซีย โดยมหาเธร์มักกล่าวสนับสนุนสิทธิของภูมิบุตร (ชนพื้นเมืองเชื้อสายมาเลย์) ในมาเลเซีย โดยเมื่อเข้าร่วมพรรค มหาเธร์กล่าวว่า “การต่อสู้หลักของเขาคือเพื่อเอกภาพของชาวมาเลย์ พรรค และองค์กร” ในขณะที่ชาวเมเลย์จำนวนหนึ่งให้การสนับสนุนแนวคิดของมหาเธร์ แต่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อดีตนายกรัฐมนตรีว่าอาจเข้าข่ายการแบ่งแยก และเลือกปฏิบัติต่อชาวมาเลเซียเชื้อสายอื่นๆ
ฟาดิลละห์ ยูซูฟ รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวว่า เขาเคารพมหาเธร์ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของประเทศตลอด 2 วาระ แต่เขาขอเรียกร้องให้มาเลเซียมีความสามัคคีระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ ของมาเลเซีย
“ผมนับถือ ตุน ดร.มหาเธร์ ในฐานะผู้มีส่วนช่วยเหลือประเทศอย่างมหาศาล และหวังว่าเขาจะช่วยเหลือเราต่อไป” ฟาดิลละห์กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (5 มี.ค.) “ตอนนี้ ชาวมาเลเซียต้องการให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะเราไม่สามารถเสียในราคาที่ต้องจ่ายจากการเล่นการเมืองไปมากกว่านี้ได้”
ที่มา: