ไม่พบผลการค้นหา
'จาตุรนต์' เผยวานนี้ (28 พ.ค.67) ที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีมติเห็นชอบร่างรายงาน ยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 14/2559 เตรียมเสนอต่อประธานสภา เพื่อนำเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

จาตุรนต์ ฉายแสง ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2559 เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ลงวันที่ 4 เมษายน พุทธศักราช 2559 พ.ศ. .... เผย ตลอด 3 เดือนมานี้ ผม (จาตุรนต์ ฉายแสง) ได้ทำงานร่วมกับคณะกรรมาธิการเพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.ให้คำสั่งคสช.นี้ ยุติลง

เพราะคำสั่งของหัวหน้าคณะรัฐประหารฉบับนี้ทำให้ “สภาที่ปรึกษา” ซึ่งเป็นกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการพื้นที่ของตัวเองอย่างสิ้นเชิง แต่เป็น 10 ปีที่ปัญหาในชายแดนใต้ถูกจัดการโดยมีกองทัพเป็นแกน

xx10.jpg

เช้าวานนี้ (28 พ.ค.2567) ที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้มีมติเห็นชอบร่างรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเป็นที่เรียบแล้ว และมีข้อสังเกตไว้ในรายงาน เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ดังนี้

1. คณะรัฐมนตรีควรพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ เป็นดังนี้

“เหตุผล”

โดยที่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2559 เรื่อง คณะกรรมการ ที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ลงวันที่ 4 เมษายน พุทธศักราช 2559 ที่ให้งดการบังคับใช้บทบัญญัติมาตราต่าง ๆ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 โดยเฉพาะบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัด ชายแดนภาคใต้ รวมถึงให้งดใช้บังคับทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรี ในส่วนที่อ้างถึงสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้จัดตั้งอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 และกำหนดให้มีคณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่แทน

ด้วยกลไกและอำนาจหน้าที่เช่นนี้มิได้สะท้อนความเป็นตัวแทน และหลักการการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกทั้งยังมีบทบาทและอำนาจ หน้าที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์และความจำเป็นต่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ คำสั่งยังกำหนดบทบาทให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมีอำนาจ เบ็ดเสร็จเหนือศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้และส่วนราชการพลเรือนอื่น ทั้งยังขยายบทบาท และอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรที่เกี่ยวข้องกับภารกิจการ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้เป็นไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น ทำให้เกิดอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหา การ บริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งกระทบต่อกระบวนการสร้างสันติภาพในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ เนื่องจากได้สร้างเงื่อนไขและข้อจำกัด การมีส่วนร่วมของประชาชน ลดทอนความไว้วางใจ ของประชาชนที่มีต่อกระบวนการสร้างสันติภาพและการพัฒนาพื้นที่และเป็นการทำหน้าที่ซ้ำซ้อนกับ หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย จึงไม่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาและไม่สอดคล้องตาม เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 เป็นเหตุสมควร ให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”


2. นายกรัฐมนตรีควรสนับสนุนให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จัดโครงสร้างองค์กร มอบหมายผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานที่มีความรู้และเข้าใจกระบวนการ ทำงานของประชาชน และจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการทำงานของสภาที่ปรึกษา การบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยต้องคำนึงถึงความคล่องตัว ความเป็นอิสระ ทางความคิดและประสิทธิภาพการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ให้ความสำคัญต่อ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนสูงสุด และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการ ข้างต้นอย่างเพียงพอและเหมาะสม


3. ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ควรพิจารณาเสนอชื่อ สมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัติการบริหาร ราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 มาตรา 108 (4) โดยให้พิจารณาว่ายังขาดตัวแทนจากภาคส่วนใด ทั้งที่กำหนดไว้ในมาตรา 119 (1) - (14) และมิได้กำหนดไว้ ก็ให้พิจารณาแต่งตั้งจากตัวแทนของภาคส่วนที่ขาดนั้น เป็นลำดับแรกก่อนและให้คำนึงถึงสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างหญิง ชาย และเยาวชน เพื่อให้สภาที่ปรึกษา การบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ประกอบไปด้วยประชาชนทุกภาคส่วน


4. ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ควรพิจารณาเร่งรัดจัดทำระเบียบที่จำเป็นและสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัด ชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคได้ พ.ศ. 2553 มาตรา 23 เพื่อให้เป็นมาตรฐานและแนวทางการปฏิบัติงานร่วมกันของทุกภาคส่วนที่คำนึงถึงหลักการบริหาร ที่มีส่วนร่วมของประชาชน


5. นายกรัฐมนตรีควรสนับสนุนให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กำหนดให้ มีผู้แทนจากสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้มีส่วนร่วมเป็นองค์ประกอบ ของคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคได้ในทุกระดับ และเป็นกลไกสำคัญในการรับฟังเสียงสะท้อน และปรึกษาหารือสาธารณะ (Public Consultation) จากประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการ สร้างสันติภาพ


6. คณะรัฐมนตรีควรพิจารณาปรับปรุงแก้ไขและเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการบริหาร ราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับทิศทางการแก้ไข ปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในสถานการณ์ปัจจุบันและรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการปรับปรุง แก้ไขและเพิ่มเติมพระราชบัญญัติดังกล่าวควรมีสาระสำคัญ ดังนี้

6.1 ให้มีระบบบริหารราชการที่ให้อำนาจประชาชนต่อการกำหนดและกำกับทิศทาง นโยบายและยุทธศาสตร์การบริหารและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้

6.2.ให้มีสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนร่วมกับระบบสรรหา (เดิม)

6.3 ให้สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้มีสัดส่วน ของหญิงและชายอย่างเท่าเทียม และให้เพิ่มองค์ประกอบจากกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มเยาวชน

6.4 ให้มีมาตรการ กลไกและแนวทางการเสริมสร้างสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นมาตราเฉพาะรองรับกระบวนการและผลลัพธ์ของการพูดคุยสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้

xx9.jpg

หลังจากนี้เมื่อฝ่ายเลขาธิการจัดทำรายงานรายงานจนแล้วเสร็จ จะเสนอต่อประธานสภา เพื่อนำเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาต่อไป