วันที่ 14 ก.ย. 2564 พรรคเพื่อไทยจัดเสวนาในหัวข้อ "จนมุมกลางสภา แล้วยังกล้าไปต่ออีกหรือ" โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ และ จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย
โดย จิราพร กล่าวถึงภาพรวมของการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุด หากเมื่อเทียบกับการชี้แจงของรัฐบาลเมื่อ 2 ครั้งที่ผ่านมา มองว่ารัฐบาลยังคงตอบคำถามไม่ชัดเจนในหลายประเด็น รวมถึงพฤติกรรมการตอบคำถามของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายมีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งจำแนกเป็น 4 พฤติกรรมหลัก คือ
1.การตอบก่อนถาม ซึ่งถ้าหากดูจากการอภิปรายตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย จะสังเกตเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ แทบไม่ได้อยู่ฟังผู้อภิปรายในสภาเลย พอถึงคิวชี้แจงก็เอาแต่ลุกขึ้นอ่านโพย โดยไม่ทราบเลยว่าเนื้อของการอภิปรายไปถึงไหนแล้ว
2.การตอบแบบไร้ภูมิปัญญา ซึ่งการอภิปรายในทุกครั้งที่ผ่านมา จะเห็นถึงความพยายามในการแก้ตัว รวมถึงการนำประเทศไทยไปเทียบกับประเทศที่แย่กว่าอยู่บ่อยครั้ง เป็นการเทียบแบบไร้ภูมิปัญญา พร้อมยกตัวอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยกข้อมูลเทียบจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ประเทศอังกฤษ ว่ามีจำนวนมากกว่าประเทศไทย แต่หากมองความจริงแล้วประเทศอังกฤษ มีการตรวจเฉลี่ยต่อวันมากกว่าประเทศไทย ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติหรือไม่ หากจะพบจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า
3.การตอบไม่ตรงคำถาม ยกตัวอย่างเช่น การที่ ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย อภิปรายในประเด็นเกี่ยวกับการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค แล้วเปิดหลักฐานที่ชี้ให้เห็นถึงการทุจริตเงินทอน แต่ปรากฏว่าทาง อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุุข กลับตอบว่าส่วนต่างนั้นเข้าคลัง ไม่ได้เอาไปไหน พอจี้ถามต่อขอหลักฐานให้ชี้แจงกลางสภาเพื่อความชัดเจน อนุทิน กลับชี้แจงไม่ได้ อ้างว่าไม่ได้ทำสัญญาซื้อขาย ซึ่งมันคนละประเด็นกัน โดยพฤติกรรมดังกล่าวปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการกระทำที่ส่อไปในทางทุจริต
4.การไม่ตอบเลย กรณีนี้เห็นทุกครั้งของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พอฝ่ายค้านจี้มากๆ รัฐบาลกลับยกบทกลอน หรือเรื่องอื่นๆมากลบ
จิราพร ยังตั้งข้อสังเกตว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกจะขอสละเงินเดือน 3 เดือนนั้น เพราะไม่เอาเงินเดือน แต่จะเอาเงินทอนหรือไม่ บางเรื่องก็ใช้ราชการมาตอบแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรัฐบาลชุดใด รวมถึงการข่มขู่จะฟ้องร้องฝ่ายค้านอีก
"การบริหารสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาล คือการบริหารที่ล้มเหลว หลักฐานหลายชิ้นทำรัฐบาลดิ้นไม่หลุด ถามว่าประเมินการอภิปรายครั้งที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เราว่าเกินคลาด ทำรัฐบาลสติแตก ส่วนคะแนนที่ได้ชัดเจนว่าลดลงเรื่อยๆ แต่คะแนนความหวาดระแวงกันเองกลับเพิ่มขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ เหมือนสินค้าที่หมดอายุ รอวันย่อยสลาย รวมถึงอยากรู้ว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะชูนโยบายอะไร ในเมื่อสิ่งที่เคยเอ่ยปาก กลับทำไม่ได้สักอย่าง" จิราพร ระบุ
ชี้ ศก.ไทยยังติดลบอีก 2 ปี แบกรับหนี้ที่รัฐบาลกู้เงิน
ด้านจุลพันธ์ ได้ชี้ถึงเรื่องความตกต่ำเศรษฐกิจ แม้นายกรัฐมนตรีจะบอกว่า เป็นเพราะสถานการณ์โควิด-19 แต่มองว่าเศรษฐกิจของไทยตกต่ำมาตั้งแต่การทำรัฐประหาร ต่อเนื่องมาถึงการบริหารที่ผิดพลาด และเชื่อว่าเศรษฐกิจของไทยจะติดลบต่อเนื่องอีก 2 ปี เพราะขณะนี้ประชาชนต้องมาร่วมแบกรับภาระหนี้สินจากการกู้เงินของรัฐบาล จนทำให้หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง แต่รัฐบาลไม่มีแนวทางการจัดหารายได้เข้าประเทศ ไม่สามารถตอบคำถามได้ว่าจะนำเงินจากไหนมาชดใช้เงินกู้ ซึ่งคิดว่าการพัฒนาประเทศจากการกระทำของรัฐบาลทำได้ยาก หนี้ภาคประชาชนก็เพิ่มมากขึ้น รายรับไม่มี มีแต่รายจ่าย
ข้องใจ 2 วันแรกไร้ประท้วง พอปูดข่าวแจกเงิน 5 ล้านลุกประท้วงรัว
จุลพันธ์ ระบุว่า ทั้งหมดส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงหนี้ภาคการเงิน การธนาคาร เพราะได้รับผลกระทบจากการหมุนเวียนของประชาชน และท้ายที่สุดอาจถึงทางตัน เพราะการตอบคำถามของรัฐบาล ที่ยังบอกว่าสถานะการเงินการคลังยังดี ยังมีการลงทุน ประชาชนยังมีเงินหมุนเวียนจากเงินประชารัฐ ซึ่งมองว่าเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง เพราะรัฐบาลไม่ยอมรับ ไม่เห็นว่าเกิดปัญหา และไม่แสวงหาแนวทางแก้ปัญหา แม้การอภิปรายเสียงของฝ่ายค้านจะไม่เพียงพอต่อการล้มรัฐบาลได้ แต่ยืนยันจะเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชน และนำพาประเทศกลับมาให้ได้ พร้อมหวังว่าการอภิปรายจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลง และนายกรัฐมนตรีต้องปรับปรุงตัว สร้างความเปลี่ยนแปลง
จุลพันธ์ ยังตั้งข้อสังเกตในการอภิปรายช่วงสองวันแรกเป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีการประท้วง หลังมีการกล่าวหากลางสภาเรื่องการแจกเงินให้ ส.ส. รัฐบาล หลังจากนั้นทุกคนกลับมาในห้องประชุมและทำหน้าที่ประท้วงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากนี้รัฐบาลต้องตอบข้อกล่าวหา และต้องหาหลักฐานมาชี้แจงให้ชัดเจน
คาด ต.ค.นี้บังคับใช้้ รธน.สูตรบัตร 2 ใบ เตือนดัน พ.ร.ก.กู้เงินอีกเสี่ยงเจอมรสุม
ขณะที่ นพ.ชลน่าน ได้คาดการณ์ว่าในช่วงเดือน ต.ค.นี้ อาจจะมีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมเรื่องของระบบเลือกตั้ง 2 ใบ เมื่อเปิดสมัยประชุมรัฐสภาครั้งที่ 2 ในเดือน พ.ย. หากรัฐบาลจะเสนอ พ.ร.ก.กู้เงิน อาจเผชิญปัญหาหนักทางการเมือง ทั้งในและนอกสภาฯ
นพ.ชลน่าน ยังประเมินท่าทีของฝ่ายการเมือง และการพิจารณาร่างกฏหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้งให้สอดคล้องกับกฏหมายแม่ แต่ยังมีความเห็นต่างกันอยู่ เพราะบางฝ่ายต้องการวิธีการคำนวณแบบ MMP ซึ่งถืออาจเกมการเมืองที่พยายามการพยุงรัฐบาลไว้ ซึ่งหากกฎหมายลูกแล้วเสร็จ แต่ก็อาจมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ หรือแม้ไม่เสร็จอาจจะออกเป็น พ.ร.ก.เลือกตั้ง โดยเชื่อว่าจะเป็นช่วงเวลาการประกาศยุบสภาของนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดความเป็นรัฐบาล และให้จัดเลือกตั้งใหม่ตามรัฐธรรมนูญใหม่
'สุทิน' ชี้จับผิดซื้อวัคซีน รัฐบาลแจงไม่ขึ้น เชื่อม็อบนอกสภาคว่ำรัฐบาลได้
ด้านประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวโดยสรุป มองการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ฝ่ายค้านจับผิดรัฐบาลได้หลายประเด็น ทำเอารัฐบาลนั้นจนมุมตอบไม่ได้หลายเรื่อง อาทิเรื่องการจัดซื้อวัคซีน เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องรอฝ่ายค้านเฉลยข้อสอบ เพราะนี่เป็นการเฉลยข้อสอบอยู่แล้ว บอกว่าจะอภิปรายเรื่องใด แต่สุดท้ายรัฐบาลกลับตอบไม่ได้ให้สังคมหายข้อใจไม่ได้ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าเป็นการแถเสียมากกว่า ทั้งนี้เชื่อว่าประชาชนที่ได้ฟังคำชี้แจงของรัฐบาลนั้น จะรู้ชัดกระจ่างแจ้งว่ารัฐบาลนั้นมีความชอบธรรมที่จะบริหารบ้านเมืองต่อหรือไม่ จริงอยู่ในสภาอาจไม่มีการยกมือโหวตคว่ำ แต่เชื่อว่าจะออกมาคว่ำข้างนอกสภาเหมือนการเมืองในอดีตที่ผ่านมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง