สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office of the United Nations High Commissioner for Human Rights) เปิดเผยว่านับตั้งแต่เกิดการก่อรัฐประหารในเมียนมาเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ประชาชนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารสังหารไปแล้วอย่างน้อย 149 ราย ขณะที่ประชาชนราว 2,084 คนถูกจับตัวไปโดยพลการ และมีผู้เสียชีวิตขณะถูกคุมขังแล้วอย่างน้อย 5 รายในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ในวันที่จันทร์ที่ 15 มี.ค. คณะรัฐประหารประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ของนครย่างกุ้ง พื้นที่โดยรอบนครย่างกุ้ง และเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองอย่างมัณฑะเลย์
อย่างไรก็ตามประชาชนยังคงเดินหน้าสู้กับเผด็จการอย่างกล้าหาญ ด้วยการรวมตัวกันประท้วงบนถนน โดยในวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา โลกได้เห็นภาพอันน่าหดหู่และน่าหวาดกลัวของสภาพบ้านเมือง ที่เกิดการวางเพลิงเผาสิ่งของประท้วง พร้อมการปะทะของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน
ผู้ชุมนุมมีเพียงเกราะกำบังที่สร้างขึ้นจากสิ่งของรอบตัว เพื่อปกป้องตัวเองจากทหารและตำรวจที่เดินหน้าปราบผู้ชุมนุมอย่างดุเดือด ขณะที่ผู้ชุมนุมบางส่วนตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐอาวุธครบมือ ด้วยการเผายางรถ และขว้างปาระเบิดขวดบรรจุน้ำมัน
ผู้สื่อข่าวและผู้สังเกตการณ์ในท้องถิ่นชี้ว่าการรายงานตัวเลขจริงของผู้ที่ถูกจับ ถูกสังหาร และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เป็นสิ่งที่ทำได้อย่างยากลำบากขึ้นทุกทีหลังการประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งทำให้พื้นที่หลายส่วนถูกตัดสัญญาณจากคำสั่งของคณะรัฐประหาร
ราวีนา แชมดาซานี โฆษกสหประชาชาติระบุในแถลงการณ์ว่า "มีการรายงานจำนวนผู้ถูกสังหารอีกมากมายที่เรายังไม่สามารถยืนยันได้ เรารู้สึกกังวลใจอย่างสุดซึ้งที่การปราบปรามประชาชนทวีความรุนแรงหนักขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเราขอร้องอีกครั้งว่า กองทัพเมียนมาต้องหยุดสังหารและคุมขังผู้ประท้วง"
ความรุนแรงของการประท้วงยังได้ลุกลามไปถึงการก่อเหตุทุบทำลายและจุดไฟเผาโรงงานที่มีเงินทุนจากนักลงทุนจีนเกี่ยวข้องถึง 32 แห่งในวันอาทิตย์ที่ 14 มี.ค.ผ่านมา โดยสื่อภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจีนอย่าง Global Times รายงานว่าโรงงานเหล่านี้อยู่ในนครย่างกุ้ง ผู้ก่อเหตุมีการวางแผนมาเป็นอย่างดี
กระทรวงการต่างประเทศของจีนได้เรียกการกระทำดังกล่าวว่าเป็นการกระทำที่ 'เลวร้าย' ผู้ก่อเหตุครั้งนี้ 'ต้องได้รับโทษอย่างรุนแรง' และมีการเรียกร้องให้ทางการเมียนมารีบจัดการกับปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น เพื่อความปลอดภัยของประชาชนชาวจีนในเมียนมาและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ขณะที่สถานทูตจีนในเมียนมาชี้ว่าไม่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการวางเพลิง มีเพียงแต่ผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย ขณะที่มีการประเมินความเสียหายว่าอยู่ที่ราว 1,130 ล้านบาท
โครงการอาหารโลก หรือ World Food Programme (WFP) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหประชาชาติแถลงเตือนถึงความเป็นไปได้ของวิกฤตเศรษฐกิจในเมียนมา โดยความวุ่นวายทางการเมืองคือสาเหตุหลักของราคาอาหารและเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะนี้ราคาน้ำมันปาล์มในนครย่างกุ้งและพื้นที่โดยรอบพุ่งสูงกว่าต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมาราว 20% ขณะที่ราคาข้าวสารในมัณฑะเลย์ก็สูงขึ้นกว่า 4% ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในบางพื้นที่อย่างรัฐคะฉิ่น ราคาข้าวแพงขึ้นสูงถึง 35%
เมื่อมองในภาพรวม ราคาเชื้อเพลิงทั่วประเทศเมียนมาพุ่งสูงขึ้น 15% ตั้งแต่การก่อรัฐประหารเมื่อต้นเดือน ก.พ. แต่ในบางพื้นที่เช่นรัฐยะไข่ ราคาน่ำมันกลับพุ่งสูงถึง 33% ซึ่งสตีเฟน แอนเดอร์สัน ผู้แทนจาก WFP ประจำเมียนมาแสดงความกังวลว่า "หากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อออกไป ผมคิดว่ามุมของเศรษฐกิจจากเหตุการณ์นี้จะเลวร้ายอย่างรุนแรง"
ก่อนที่จะมีการรัฐประหารเกิดขึ้น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ชาวเมียนมาต้องเผชิญนั้นค่อนข้างเลวร้ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โรงงานมากมายตัดสินใจปิดกิจการในช่วงของการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้กลุ่มคนที่ยากจนที่สุดในสังคมไม่มีงานทำและขาดรายได้ ประชาชน 6 ใน 10 คนไม่มีกำลังซื้อเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เพียงพอในแต่ละวัน ความยากจนเลวร้ายลงเพราะโรคระบาด ขณะที่ครึ่งหลังของปี 2563 มีการรายงานว่า 4 ใน 5 ของครอบครัวชาวเมียนมาสูญเสียรายได้ของครอบครัวไปมากกว่า 50%