เพียงผู้โดยสารหญิงรายเดียวที่ไม่ยอมใส่หน้ากากอนามัย ส่งผลให้เครื่องบินของสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ AAL38 ไมอามี-ลอนดอน ต้องตัดสินใจนำเครื่องวกกลับมาลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติไมอามีใหม่อีกครั้ง หลังเดินทางออกมาจากสนามบินนานนับชั่วโมงด้วยระยะทางกว่า 800 กิโลเมตร จากระยะทางไมอามีไปลอนดอน 7,080 กิโลเมตร
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวหญิงรายดังกล่าวในช่วงอายุวัย 40 ปี เดินทางลงจากเครื่องบิน อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้จับกุมตัวเธอแต่เพียงอย่างใด ถึงแม้ว่าเธอจะทำให้ผู้โดยสารรายอื่นและลูกเรือกว่าร้อยชีวิตต้องเสียเวลานานนับชั่วโมง หลังเครื่องบินต้องวกกลับขณะกำลังบินผ่านอ่าวนอร์ทแคโรไลนา
อเมริกันแอร์ไลน์ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า เที่ยวบินดังกล่าวถูกทำให้ล่าช้าลงจาก “ผู้โดยสารที่ก่อกวนจากการปฏิเสธการปฏิบัติตามกฎการใส่หน้ากากอนามัยของรัฐบาลกลาง” อย่างไรก็ดี มีข้อถกเถียงอย่างหนักจากกฎการบังคับให้สวมหน้ากากขณะเดินทางบนเครื่องบินของสหรัฐฯ ออกไปในหลายแนวทางตลอดระยะเวลาของการระบาด
“เที่ยวบินดังกล่าวได้ลงจอดอย่างปลอดภัยที่ท่าอากาศยานนานาชาติไมอามีอย่างปลอดภัย ที่ที่เจ้าหน้าที่ทางการได้เข้าจัดการสถานการณ์บนอากาศยาน เราขอขอบคุณลูกเรือในความเป็นมืออาชีพของพวกเขา และขอโทษผู้โดยสารของเราจากความไม่สะดวก” อเมริกันแอร์ไลน์ระบุเสริมในแถลงการณ์
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีกรณีผู้โดยสารที่ไม่ยอมใส่หน้ากากอนามัย เมื่อเดือน พ.ค.ปีก่อน มีรายงานระบุว่าหญิงชาวแคลิฟอร์เนียชกเข้าไปที่หน้าของลูกเรือกว่าหลายครั้ง หลังจากเธอไม่พอใจที่ถูกขอให้รัดเข้มขัดนิรภัยให้ถูกต้อง วางถาดลงบนโต๊ะ และ “สวมหน้ากากบนใบหน้าให้ถูกวิธี” ลูกเรือรายดังกล่าวได้รับบาดเจ็บเลือดท่วมหน้า โดยมีฟันสามซี่บิ่นแตก
มีรายงานมายังสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐฯ กว่าหลายพันครั้งในรอบปีที่ผ่านมา ถึงกรณีการละเมิดกฎการใส่หน้ากากอนามัยบนเครื่องบินของสหรัฐฯ โดยเมื่อปี 2564 มีรายงานการละเมิดกฎสายการบินกว่า 5,981 กรณี ทั้งนี้ กว่า 70 เปอร์เซ็นต์เป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับกฎการบังคับใส่หน้ากากของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ
ที่มา:
https://www.nytimes.com/2022/01/20/world/europe/american-airlines-passenger-mask.html