“มู่หลาน” เป็นภาพยนตร์การ์ตูนล่าสุดที่ดิสนีย์นำมาทำใหม่โดยใช้คนแสดงจริงที่มีแผนจะเข้าโรงในปี 2020 โดยช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่งมีการปล่อยตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาให้แฟนๆ ดิสนีย์ได้ดูกัน หลังจากที่มีการประโคมข่าวว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ทุ่มทุนสร้างจำนวนมหาศาล มากกว่าภาพยนตร์เรื่องที่ผ่านมา และจะใช้นักแสดงชื่อดังหลายคนของจีน ตั้งแต่ หลิวอี้เฟย ที่จะมารับบทเป็น มู่หลาน, เจ็ท ลี เป็นจักรพรรดิ แล้วก็ยังมีกงลี่ แสดงเป็นตัวร้าย
มู่หลาน เวอร์ชันนี้จะไม่มีการร้องเพลงเป็นมิวสิคัลแบบเวอร์ชันการ์ตูนเมื่อปี 1998 ไม่มีมังกรมูซูที่เป็นตัวละครสีสันที่หลายคนหลงรัก แต่มีเป็นนกฟินิกซ์แทน รวมถึงไม่มีเรื่องความรักกับแม่ทัพหลี่ชางด้วย โดยจะสร้างหนังเรื่องนี้โดยอิงกับประวัติศาสตร์ของมู่หลานที่เป็นวีรสตรีของจีนจริงๆ ให้มากขึ้น จากเวอร์ชันการ์ตูนที่เกี่ยวกับเด็กสาวที่ออกไปรบแทนพ่อที่แก่ชรา
อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงนี้ก็ทำให้แฟนดิสนีย์หลายคนรู้สึกไม่พอใจ โดยเฉพาะแฟนๆ ฟากตะวันตก ซึ่งมองว่ามู่หลานเวอร์ชันคนแสดงจะไม่เหมือนกับเวอร์ชันการ์ตูนที่พวกเขาชื่นชอบในวัยเด็ก อีกทั้งยังทิ้งความเป็นดิสนีย์ออกไปหลายอย่าง โดยเฉพาะการไม่ให้ตัวละครร้องเพลง
“ดิสนีย์กำลังก้มหัวให้ชาตินิยมจีน”
ด้านหยางจิ้งอัน นักเขียนบทและผู้สื่อข่าวลูกครึ่งอังกฤษ-ฮ่องกงได้เขียนบทความลงในสำนักข่าวเดอะการ์เดียนของอังกฤษว่า “ตัวอย่างหนังมู่หลานเวอร์ชันนี้เป็นสัญญาณที่น่าหดหู่ว่าดิสนีย์กำลังก้มหัวให้กับการกล่อมเกลาความชาตินิยมจีน”
หยางกล่าวว่า แฟนดิสนีย์นอกจีนแผ่นดินใหญ่เชื่อว่าการที่ดิสนีย์เปลี่ยนมังกรมูซูเป็นนกฟินิกซ์ เป็นการทำให้หนังมีความเป็นจีนน้อยลง แต่ผู้ชมชาวจีนจำนวนมากกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น เพราะตัวอย่างหนังเวอร์ชันนี้ที่มีอารมณ์ขึงขัง ไม่มีอารมณ์ขันแอบแฝงเหมือนเวอร์ชันการ์ตูนได้บ่งบอกจุดประสงค์ของหนังแล้วว่า หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อเด็กวัยรุ่นผู้หญิงที่ต้องการค้นหาตัวตน และเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งในแบบที่ตัวเองต้องการจะเป็นอีกต่อไป แต่เป็นการช่วยส่งเสริมชาตินิยมตามแบบฉบับของรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน
หยางอธิบายว่า ดิสนีย์สร้างมู่หลานเวอร์ชันนี้โดยระลึกเสมอว่า มู่หลานเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์คนแรกที่เป็นคนจีนเมื่อปี 1998 แต่การ์ตูนมู่หลานกลับล้มเหลวอย่างหนักในประเทศจีนเอง เพราะดิสนีย์ไปให้ทุนหนังเรื่อง Kundun เกี่ยวกับองค์ดาไลลามะของทิเบต ทำให้รัฐบาลจีนแบนหนังของดิสนีย์
ช่วงเวลาที่ดิสนีย์ปล่อยตัวอย่างภาพยนตร์มู่หลานเวอร์ชันคนแสดงที่สะท้อนให้เห็นถึงการทำตามความต้องการของรัฐบาลจีนก็ออกมายังไม่ค่อยดีนัก เพราะทั่วโลกเพิ่งจะได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับตำรวจฮ่องกงใช้ความรุนแรงในการปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างสงบ เพื่อต่อต้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้จีนแผ่นดินใหญ่ และเพิ่งมีรายงานเกี่ยวกับการกดขี่ทั้งผู้ใหญ่และเด็กชาวมุสลิมอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ตัวอย่างหนังที่ส่งเสริมความรู้สึกชาตินิยมจีนเช่นนี้ จึงทำให้หลายคนที่เชื่อในประชาธิปไตยและเสรีภาพรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เมื่อเห็นดิสนีย์อยากประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศจีนมากขนาดนี้
คนจีนชอบตัวอย่างหนังมู่หลานเวอร์ชันใหม่
สำนักข่าว ซิกธ์โทน ของจีนรายงานว่า ผู้ใช้โซเชียลชาวจีนต่างชื่นชมตัวอย่างหนังมู่หลานเวอร์ชันคนแสดงมาตลอดตั้งแต่ที่ปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 7 ก.ค.ที่ผ่านมา มีการแชร์ตัวอย่างหนังกันอย่างกว้างขวางในเว็บไซต์เวยป๋อ และการสำรวจความเห็นคนในเวยป๋อมากกว่า 115,000 คน ส่วนใหญ่ก็พึงพอใจกับตัวอย่างหนังนี้
ชาวเน็ตจีนชื่นชมว่าการแสดงของหลิวอี้เฟยดีมาก พร้อมยกให้เธอเป็น “เจ้าหญิงดิสนีย์คนแรกของจีน” อีกทั้งยังชื่นชมที่หลิวอี้เฟยมีลุคธรรมชาติ ไม่แต่งหน้ามากตามขนบภาพยนตร์จีน เพราะมู่หลานจะต้องปลอมตัวเป็นผู้ชาย
อย่างไรก็ตาม คนจีนยังวิจารณ์เกี่ยวกับความถูกต้องทางประวัติศาสตร์บ้างเล็กน้อย โดยระบุว่า ตามประวัติศาสตร์ มู่หลานตัวจริงอาศัยที่มณฑลเหอหนาน ช่วงราชวงศ์ท่าป๋าเว่ย (ปี 386-534) แต่ในหนังเรื่องนี้ มู่หลานกลับไปอยู่ที่ถู่โหลว ชุมชนพื้นเมืองทางตะวันออกของมณฑลฝูเจี้ยนที่ตั้งขึ้นในอีกหลายศตวรรษต่อมา
นอกจากนี้ ยังมีคนยังแสดงความเห็นขบขันว่า ฉากที่มู่หลานต้องแต่งตัวแต่งหน้าเพื่อเข้าพิธี มีการแต้มสีแดงที่หน้าผากของมู่หลานเป็นรูปคล้ายกับโลโก้ของหัวเว่ย บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน แต่ก็มีคนมาอธิบายว่า การแต้มสีแดงบนหน้าปากเป็นรูปนี้เป็นรายละเอียดที่ถูกต้องตามประวัติศาสตร์แล้วที่ผู้หญิงช่วงนั้นจะแต่งหน้าแบบนี้
ในขณะที่แฟนดิสนีน์ฟากตะวันตกจะไม่พอใจที่เวอร์ชันนี้จะไม่มีมูซูแล้ว ชาวจีนไม่ค่อยสนใจตัวละครสีสันนี้มากนัก รวมถึงไม่สนใจว่าภาพยนตร์นี้ไม่เป็นมิวสิคัลด้วย มีผู้ใช้เวยป๋อคนหนึ่งคอมเมนต์ว่า “เราสนใจว่าฮวามู่หลานจะสวยหรือไม่ และหนังจะสะท้อนวัฒนธรรมจีนและความมุ่งมั่นของมู่หลานออกมาได้ตรงกับประวัติศาสตร์ขนาดไหน”
ที่มา : The Guardian, Variety, Sixth Tone