วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2562) นายกีรพัฒน์ เจียมเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เปิดเผยว่า กฟน.ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงมหาดไทย มีความตระหนักในการลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้เร่งปรับปรุงระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคง ยกระดับคุณภาพงานบริการ เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน ซึ่งในปัจจุบัน กฟน. ได้มีการวางระบบจำหน่ายกระแสไฟฟ้าครอบคลุมทุกพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ประกอบกับได้มีการพัฒนานวัตกรรมบริการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและอำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กฟน.จึงได้ปรับปรุงข้อบังคับอัตราค่าบริการการขอใช้ไฟฟ้าโดยยกเว้นการเรียกเก็บค่าบริการขอใช้ไฟฟ้า ทั้งการขอใช้ไฟฟ้าใหม่หรือการเปลี่ยนแปลงขนาดการใช้ไฟฟ้าให้แก่ผู้ขอใช้ไฟฟ้าทุกประเภท ยกเว้นการขอใช้ไฟฟ้าประเภท 69/115 kV และยังได้ยกเว้นค่าบริการตรวจสอบสายใน หากติดตั้งสายไฟฟ้าภายในจากผู้รับเหมาที่ขึ้นทะเบียนกับ กฟน.อีกด้วย ทั้งนี้สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้รับเหมาที่ขึ้นทะเบียนกับ กฟน. เพื่อติดต่อขอรับบริการได้ที่เว็บไซต์ www.mea.or.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง MEA Call Center 1130 หรือช่องทางสื่อสารโซเชียล กฟน. ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ผู้ว่าการ กฟน. กล่าวต่อไปว่า กฟน.มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพบริการอย่างต่อเนื่อง สำหรับการยกเว้นการเรียกเก็บค่าบริการการขอใช้ไฟฟ้าดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะช่วยลดภาระให้แก่ประชาชนที่มีความต้องการขอใช้ไฟฟ้าใหม่หรือการเปลี่ยนแปลงขนาดการใช้ไฟฟ้าเท่านั้น หากแต่ยังเป็นมาตรการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้ไฟฟ้าและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises หรือ SMEs) ซึ่งเป็นกำลังที่สำคัญในการจ้างงานและขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ตอบสนองวิถีชีวิตเมืองมหานคร รวมไปถึงช่วยดึงดูดนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้เกิดความสนใจ และมั่นใจในการลงทุนเพื่อประกอบธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตจำหน่ายของ กฟน.เพิ่มมากขึ้น สอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่มุ่งมั่นส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ และลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนอีกด้วย โดยที่ผ่านมา กฟน. มีความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพงานบริการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาระบบการขอใช้ไฟฟ้าให้เป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว ของ กฟน. ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับประเทศที่มีความสะดวกในการเข้าไปประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ในความสะดวกด้านการขอใช้ไฟฟ้าเป็นอันดับที่ 6 ของโลก ขยับอันดับขึ้นจากปีที่ผ่านมาจากอันดับที่ 13 เมื่อปี พ.ศ. 2561 โดยภาพรวมความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศไทยเป็นอันดับที่ 27 ของโลก และเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน