ไม่พบผลการค้นหา
‘ชวน’ กรีด ‘เศรษฐา’ อย่าทำธุรกิจการเมือง แนะย้อนบทเรียนอดีตพรรคการเมืองเลือกปฏิบัติ ละเมิดหลักนิติธรรม ติงนโยบายรัฐบาลไม่เอ่ยถึงเหตุความไม่สงบชายแดนใต้ ด้าน นายกฯ ลุกโต้ 'ชวน' ยืนยันรัฐบาลทักษิณ แก้วิกฤตช่วงสึนามิจนคนทั่วโลกแห่ชม เตรียมลุยลงพื้นที่ภาคใต้ ขอเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน

วันที่ 12 ก.ย. 2566 ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 6 เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ เป็นวันที่ 2 ซึ่งเป็นวันสุดท้าย โดยมี วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานในการประชุม ทั้งนี้ ชวน หลีกภัย สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เริ่มต้นการอภิปรายโดยระบุว่า เนื่องจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มี 25 คน เวลาที่ได้จัดสรรจึงน้อยนิด จึงขอขอบคุณเพื่อนในพรรคที่กันเวลาไว้ให้ส่วนหนึ่ง แต่ต้องขออภัยที่ตัวเองมีอาการหวัดลงคอมาหลายวัน อาจมีอาการผิดปกติบ้าง

ชวน กล่าวว่า ในการอภิปรายนโยบาย นอกเหนือจากความเหมาะสมของนโยบายแล้ว ความสำเร็จก็อยู่ที่คุณสมบัติของผู้บริหาร คือคณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงขอให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ สำหรับนายกรัฐมนตรี ขอแสดงความยินดีกับท่านเป็นส่วนตัว แต่ตนไม่ได้เห็นชอบท่าน ไม่ใช่เพราะคุณสมบัติของท่าน แต่เพราะท่านมาจากพรรคการเมืองที่เลือกปฏิบัติ

ชวน ประชุมรัฐสภา _2726.jpeg

ชวน อธิบายว่า เพราะตัวเองเป็น 1 ใน สส. ที่ทุกข์ร้อนแทนชาวบ้าน เมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยถือหลักว่า พัฒนาเฉพาะจังหวัดที่เลือกเขา จังหวัดอื่นไว้ทีหลัง ทำให้เกิดความรู้สึกกระทบใจต่อคนที่ไม่ได้เลือก โดยเฉพาะในภาคใต้ กลุ่มของตัวเองจึงรณรงค์ประชาชนว่าไม่ต้องเลือกเขา ไม่ใช่วิธีรุนแรง กลั่นแกล้งด้วยวิธีอื่น ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อ พรรคไทยรักไทยได้รับเลือกตั้งน้อยมาก ส่วนพรรคเพื่อไทยแทบไม่ได้เลยในภาคใต้ แม้จะได้เสียงเกือบแลนด์สไลด์ในที่อื่นก็ตาม

“ดังนั้น เมื่อขอร้องประชาชนไม่ให้เลือก แล้ววันหนึ่งมายกมือ หรือบอกสนับสนุนหัวหน้าพรรคนี้ให้เป็นนายกฯ มันเท่ากับหักหลังชาวบ้าน ทรยศประชาชน จึงขออนุญาตพรรคซึ่งมีมติงดออกเสียง แต่ผมขออนุญาตประกาศว่า ไม่เห็นชอบ ด้วยชัดเจน”

อย่างไรก็ตาม ชวน กล่าวว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นนโยบายในอดีต ทำให้จังหวัดภาคใต้เสียโอกาสอย่างมาก ทั้งที่ทุกจังหวัดต่างสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ ไม่ควรจะเลือกปฏิบัติ แล้วไปเก็บภาษีเขาโดยไม่ละเว้น เป็นสิ่งที่รับไม่ได้

“นายกรัฐมนตรีไม่เคยมีใครตรวจสอบเข้มข้นเท่าคนที่ 30 มีการนำประวัติการทำธุรกิจของท่านมาเปิดเผย ผมต้องกราบขออภัย ที่ผมไม่รู้จักท่านเศรษฐา (ชวน ออกเสียงว่า เชษฐา) ตัวจริง ผมเพิ่งรู้จักท่านเมื่อครู่นี้ ท่านให้เกียรติมาเยี่ยมที่ห้องอาหาร”

ผู้สื่อข่าวรายงาน ระหว่างการอภิปรายของ ชวน ได้พูดชื่อของ เศรษฐา ว่า เชษฐา อยู่หลายครั้ง

“ถ้าผู้ตรวจสอบเขารู้ประวัติว่าท่านทำอะไรไม่ดีไว้ เช่น ระหว่างเรียนอยู่ต่างประเทศ ถ้าท่านเคยทุจริตในการสอบ เคยลักเล็กขโมยน้อย ผมเชื่อว่าผู้ตรวจสอบเขาไม่ละเว้น ข้อนี้เป็นประโยชน์ต่อท่าน”

“เมื่อมองมาตรฐานของพรรคไทยรักไทย และพรรคเพื่อไทย ในการเสนอบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี คุณเศรษฐา คุณสมบัติไม่ด้อยกว่าคนอื่นเลย ถ้าจะเสนอแนะ ก็อย่าไปล้ำเส้น อย่าไปติดคุก อย่าหนีไปต่างประเทศ อย่าทำอะไรก็ตามที่มีปัญหา ไม่ทันพ้นตำแหน่ง”

“5 ท่านที่เสนอมา ผมไม่ขอเอ่ยชื่อ 1 ท่านเสียชีวิต ขณะรอคำพิพากษาจากศาลสูง ซึ่งศาลอุทธรณ์ยืนจำคุก 2 ปี น่าเสียดาย ท่านถูกยึดทรัพย์ อีก 2 ท่าน ถูกคดีอาญา นายกฯ คนที่ 30 ท่านจะเจอชะตากรรมอย่างไร จะอยู่ที่ภาคปฏิบัติของท่านท่าน เราไม่สามารถวัดวันนี้ได้”

โดย ชวน แนะนำว่า การจะหนีชะตากรรมเรื่องคดี คือต้องไม่โกง ซึ่งก็สอดคล้องกับสิ่งที่รัฐบาลแถลงไว้ในนโยบาย คือแนวนโยบายซื่อสัตย์สุจริต รักษาไว้ซึ่งประโยชน์ส่วนรวม

อดิศร 743.jpeg

ระหว่างนั้น อดิศร เพียงเกษ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วง ชวน โดยแนะนำตัวว่า เป็นอดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย เลขที่ B40013074018 ลุกขึ้นประท้วง กล่าวว่า ส่วนตัวเคารพในผู้อภิปราย แต่ขอให้พูดเรื่องนโยบาย ห้ามพูดเรื่องความหลังหรือคุณสมบัติมากนัก เหตุที่จำเป็นต้องประท้วง เพราะพูดถึงความหลังมากเกินไป นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ไม่มียกเว้นจังหวัดใด ท่านเป็นนายกฯ 2 สมัย ทำไมไม่ทำ ทำให้ วันมูหะมัดนอร์ ตัดบท เพราะพาดพิงกันไปมา และอาจจะไม่จบ

จากนั้น ชวน กล่าวต่อไปว่า การมีนักธุรกิจมาทำการเมือง ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นเรื่องเป็นประโยชน์ด้วยซ้ำ แต่ขออย่าทำธุรกิจการเมือง คือนำผลประโยชน์ส่วนตัวหรือพรรคพวก จะส่งผลกระทบต่อประโยชน์ส่วนรวม บทเรียนในอดีตล้วนมีค่ายิ่งต่อนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เสนอให้ทบทวนและชดเชยเหตุการณ์นี้ ว่ามีผลกระทบอย่างไรบ้างจากการเลือกปฏิบัติ

“เพื่อนผมที่เป็นนักการเมือง ติดคุก 10 คน เพราะทำธุรกิจเป็นการเมือง หลายคนเป็นคนดีที่ไม่ควรจะเจอชะตากรรม แต่เพราะเกรงใจลูกพี่ ก็มีอันเป็นไปอย่างน่าเสียดาย บทเรียนเหล่านี้มีค่ายิ่งสำหรับนายกฯ คนที่ 30”

ต่อมา ชวน หยิบยกตัวเลข 7,520 คือชีวิตที่เสียไปในภาคใต้ จากเหตุความไม่สงบ ระหว่างปี 2547-2566 เพราะไม่ว่าพูดถึงงบประมาณเท่าใดก็ตาม มีค่าไม่เท่าชีวิตคนหนึ่งคน ในวันที่ 22 ส.ค. 2566 วันที่นายกรัฐมนตรีได้รับโปรดเกล้าฯ ต่อมาในวันที่ 28 ส.ค. 2566 มีเหตุวางระเบิดและซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 4 ราย ที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี อาจไม่เป็นข่าวทั่วไป 

อย่างไรก็ตาม เมื่อมาตรวจดูนโยบายของรัฐบาล ทั้งหมด 14 หน้า ไม่มีกล่าวถึงเรื่องนี้เลย เป็นครั้งแรกนับแต่ 2548 เป็นต้นมา ที่ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ไม่ถูกพูดถึงในนโยบายรัฐบาล คงมีอยู่ในภาคผนวก ซึ่งลอกคำจากยุทธศาสตร์ชาติมาลงไว้ แม้จะระบุคำว่านิติธรรมไว้หลายแห่ง แต่ไม่มีความอบอุ่นขึ้น หากไม่เห็นข้อมูลชัดเจนว่าคิดจะแก้ไขปัญหาในพื้นที่นั้นอย่างไร

ชวน ยังกล่าวถึง วันที่ 8 เม.ย. 2544 เป็นจุดเริ่มต้นนโยบายแก้ปัญหาภาคใต้โดยการละเมิดหลักนิติธรรม เกิดกระบวนการ ‘จัดการ’ เดือนละ 10 คน สิ่งที่ตามมาคือเกิดกระบวนการใหม่ และเมื่อได้เห็น 3 ศพในพื้นที่ภาคใต้ด้วยตาตัวเอง ก็ชัดเจนแล้วว่าความไม่สงบได้เกิดขึ้น จนกระทั่งวันที่ 4 ม.ค. 2547 มีเหตุปล้นค่ายปิเหล็ง สร้างความสูญเสียชีวิตมหาศาล มีเพียงอาชีพแพทย์และนักการเมืองที่ไม่สูญเสีย เป็นผลจากการขาดหลักธรรมาภิบาล

อรุณี ลิณธิภรณ์ _2733.jpeg

ทำให้ ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงว่าผู้อภิปราย พูดจาส่อเสียด ไม่อยู่ในประเด็น การพูดเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว 20 ปี ซ้ำไปมา ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้อภิปรายพูดเช่นนี้

จากนั้น ชวน ได้อภิปรายต่อไปว่า เป็นโอกาสอันดีเมื่อได้นายกรัฐมนตรีมา อย่างน้อยที่สุด ท่านจะเข้าใจเรื่องบาปบุญคุณโทษ ท่านมาจากครอบครัวที่ดีงาม คงรู้ว่าคนที่ถูกเอาเปรียบ และเลือกปฏิบัติ นอกจากขัดต่อหลักประชาธิปไตยแล้ว ไม่ควรมองข้าม จึงขอเสนอให้ทบทวนความเสียหายแก่จังหวัดที่ถูกเลือกปฏิบัติ

ชวน กล่าวว่า คำแนะนำที่ดีที่สุดในช่วงวิกฤต คือพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ว่า ‘เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา’ การแก้ปัญหาด้วยวิธีการนอกกฎหมาย อาจจะสะใจคนบางคน แต่เป็นที่มาของปัญหา ไม่ควรให้ฝ่ายบริหารมาตัดสินเอง เป็นการละเมิดหลักนิติธรรม ที่เขียนไว้ในนโยบายหลายช่วงตอน แต่เป็นห่วงว่าจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง หากเราไม่รู้เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น

“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ พัฒนาในพื้นที่ แล้วเข้าใจในพื้นที่ ในที่สุดผมเชื่อว่า ถ้าเราปฏิบัติตามแนวนี้ จะคลี่คลายปัญหาได้ ถ้าท่านนายกฯ ตั้งใจทำ ให้กำลังใจสำหรับทุกคนที่ทำงานเพื่อส่วนรวม ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แล้วท่านนายกฯ จะปลอดภัยเมื่ออยู่ครบ 4 ปี หรือไม่ครบก็ตาม โดยไม่ต้องติดคุก อันเกิดจากทุจริต ไม่ไปอยู่ในกลุ่มโคตรโกง โกงทั้งโคตร ขออวยพรให้ท่านประสบความสำเร็จ” ชวน ทิ้งท้าย

เศรษฐา แถลงนโยบาย ประชุมรัฐสภา 766.jpeg

'เศรษฐา' สวน 'ชวน' แม้มาจากนักธุรกิจ แต่รู้ปัญหาประเทศดี ป้อง 'ทักษิณ' ไม่เคยเลือกปฏิบัติหลังเหตุสึนามิลงพื้นที่ใต้กินอยู่กับชาวบ้าน - ลั่นพร้อมเป็นนายกฯ ให้คนไทยเสมอภาค-เท่าเทียม เล็งสร้างสนามบิน 4 จ.ใต้ แม้ไม่มี สส.เพื่อไทย 

จากนั้น เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลุกขึ้นชี้แจงเป็นรอบที่ 5 โดยเริ่มต้นด้วยการขอบคุณ ชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตประธานรัฐสภา ที่ให้เกียรติ ให้โอวาทและข้อควรระวัง ท่านอาจจะไม่รู้จักผมดีพอ เพราะท่านเอ่ยชื่อของตนผิดในตอนต้น ตนชื่อเศรษฐา ไม่ใช่ เชษฐา และท่านได้กล่าวภูมิหลังของตนว่าทำอะไรมาก่อน แม้ตนเองจะเป็นนักธุรกิจมาก่อนแต่ยืนยันว่า การที่ตนเข้ามาทำงานตรงนี้ประเทศไทยตนรักประเทศชาติมีความต้องการที่จะเห็นประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การได้เข้ามา ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรติ และมายืนอยู่ในรัฐสภาอันทรงเกียรติ ตนมาด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง ตั้งใจจะทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ ตนมีความรู้ระดับหนึ่งเกี่ยวกับปัญหาที่ประชาชนประสบอยู่ 

ส่วนที่ ชวน บอกว่า 7,500 กว่าชีวิตที่เสียไปในเหตุการณ์สึนามิ ตนก็รู้สึกเศร้าใจตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าสู่สนามการเมือง ชีวิตที่ไม่ควรจะสูญเสียหนึ่งชีวิตก็มากเกินไปแล้ว เราจะเห็นตรงกันว่าการสูญเสียไม่ควรจะเกิดขึ้น ส่วนวิธีการแก้ไขปัญหา หรือความเข้าใจในปัญหาอาจจะต่างกัน ตนมั่นใจว่ารัฐบาลที่มาจากประชาชนโดยพรรคร่วม 11 พรรค ให้ความสำคัญกับความสงบสุขในพื้นที่ภาคใต้ ไม่น้อยไปกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเลือกปฏิบัติเป็นข้อถกเถียงกันมานาน และตนไม่อยากไปถกเถียงกับ ชวน ในเรื่องนี้พร้อมน้อมรับข้อมูลของท่าน แต่ตนก็มีข้อมูลว่ารัฐบาลพรรคไทยรักไทย เมื่อเกิดวิกฤติสึนามิมา ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ลงพื้นที่พร้อมกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และเอกชนไปดูแลในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและข้างเคียงอย่างเต็มความสามารถจนเป็นที่ชื่นชมของชาวโลก

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า การเลือกปฏิบัติพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งของประเทศไทย สำหรับผู้บริหารสูงสุดของประเทศ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควร เราเป็นรัฐบาลที่มาจากประชาชนทั้งประเทศ ไม่ว่ารัฐบาลนี้จะมี สส.จากภาคใต้ หรือไม่ก็ตาม แต่ตนมีความตั้งใจสูงสุด ในฐานะนายกรัฐมนตรี ต้องให้ความเป็นธรรม ความเสมอภาค และความเท่าเทียมกับประชาชนคนไทยทุกคน ตนให้ความสำคัญกับพื้นที่ภาคใต้ และเชื่อว่าการกระทำเป็นสิ่งพิสูจน์ได้ดีกว่าคำพูด ว่ารัฐบาลนี้จะบริหารราชการแผ่นดินอย่างไร วันนี้ตนสามารถสั่งการได้แล้ว และอีกสองอาทิตย์ตนจะลงพื้นที่ภูเก็ตอีกครั้ง เพื่อติดตามโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะความเป็นไปได้ในการสร้างสนามบินนานาชาติภูเก็ต หรือบางคนเสนอให้ใช้สนามบินอันดามันอินเตอร์เนชั่นแนล ครอบคลุมไปถึงจังหวัดพังงากระบี่และระนอง ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าวนี้ไม่มี สส.ของพรรคเพื่อไทย เลยแม้แต่คนเดียว จึงยืนยันว่า การมาดำรงตำแหน่งนี้มีเจตนาชัดเจนว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีของประชาชนที่จะนำพารัฐบาลที่เป็นของคนไทยทุกคน