วันนี้ (4 มิถุนายน 2568) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในที่ประชุม ครม.ว่า วันนี้ในเรื่องของปัญหาชายแดน ขอให้คณะรัฐมนตรีร่วมกันแก้ไข ทั้งนี้การแก้ปัญหาจะไม่มีการเมือง ไม่มีฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล เพราะประเทศไทยต้องมาก่อน
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีดังนี้ “สำหรับสถานการณ์ชายแดน ไทย กัมพูชา ที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ได้สั่งการให้ กระทรวงกลาโหม กองทัพบก และ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเป็นเอกภาพ และขอยืนยันว่ารัฐบาลมุ่งมั่นในการรักษาอธิปไตยของประเทศไทยให้ถึงที่สุด และจะใช้มาตรการต่าง ๆ ในการคลี่คลายสถานการณ์ตามกรอบกฎหมาย และข้อตกลงกับประเทศกัมพูชา ตาม MOU 43 อย่างสันติ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสีย และความเสียหายโดยไม่จำเป็น
รวมทั้งเร่งรัดให้มีการเจรจาผ่านคณะกรรมการชายแดนฯ หรือ JBC โดยในครั้งนี้ทางกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพในวันที่ 14 มิถุนายน ที่จะถึงนี้จึงขอมอบหมายดังนี้
1. ให้ กระทรวงการต่างประเทศ รับผิดชอบเรื่องการแถลงข่าวสถานการณ์ดังกล่าว เป็นระยะ โดยให้ประสานข้อมูลอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงกลาโหม และกองทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. ให้หน่วยงานความมั่นคง และ กระทรวงดิจิทัลฯ เข้มงวดควบคุมไม่ให้เกิดข่าวเท็จ Fake News ที่ยุยงปลุกปั่นในสถานการณ์ที่เปราะบางเช่นนี้ และขอความร่วมมือให้สื่อต่าง ๆ รวมทั้ง Social Media และภาคส่วนต่าง ๆ อย่าปลุกเร้าขยายให้ความขัดแย้งมากขึ้น เพราะไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ ต่อประชาชนคนไทยและประเทศชาติ
3. ขอส่งกำลังใจแก่ทุกเหล่าทัพ และทหารที่อยู่ในแนวหน้า ขอให้ทำหน้าที่รักษาอธิปไตยด้วยความอดกลั้น เพื่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ และขอยืนยันว่า รัฐบาลจะเร่งรัดแก้ปัญหาให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด
นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า จากนั้นนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในเรื่องที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทย ได้เรียกร้องให้จัดสถานที่สูบบุหรี่ในสนามบินให้เป็นสากลเหมือนเช่นกับสนามบินทั่วโลก โดยนายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการว่า การจัดพื้นที่สูบบุหรี่ในท่าอากาศยานนั้นในฐานะที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินและการเดินทางของภูมิภาค และการท่องเที่ยว ซึ่งมีผู้โดยสารจำนวนมากใช้บริการท่าอากาศยานในแต่ละวัน ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารควรจัดพื้นที่สูบบุหรี่ที่เหมาะสม แยกเป็นสัดส่วนและมีระบบระบายอากาศที่ได้มาตรฐาน
ทั้งนี้การดำเนินการต้องคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ และรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศในระดับสากล ทั้งนี้ ควรพิจารณาทบทวนหรือแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ หรือ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมกับบริบทการดำเนินงาน และนโยบายในปัจจุบันด้วย จึงขอมอบหมาย ดังนี้
1. ให้ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (AOT) กรมท่าอากาศยาน บูรณาการความร่วมมือในการจัดพื้นที่สูบบุหรี่ภายในท่าอากาศยานให้เหมาะสม ไม่กระทบต่อผู้ไม่สูบบุหรี่ และไม่ขัดต่อกฎหมาย
2.ให้ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนหรือแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานเกี่ยวกับพื้นที่สูบบุหรี่ต่อไป