เวลา 10.00 น ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีปลอมตัวเงิน สกสค.หมายเลขดำ อ.1134/59 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา อายุ 44 ปี หรือเจ้าของฉายาเสี่ยบิ๊กและปาเกียวเมืองไทย อดีตประธานสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ เป็นจำเลยในความผิดฐานปลอม และใช้ตั๋วเงินปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 , 266 (4) ,268
กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 21 ธ.ค.56 - 21 ก.ค.57 จำเลยกับบริษัท บิลเลี่ยน อิโนเวเทค กรุ๊ป จำกัด ร่วมกันปลอมตั๋วแลกเงิน หรือดราฟท์ของธนาคารฮ่องกง และเซี่ยงไฮ้ แบงค์กิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อไปใช้อ้างต่อสำนักงานสวัสดิการ และสวัสดิภาพบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) ว่าเป็นตั๋วแลกเงินที่แท้จริงจากธนาคารฮ่องกงฯ ที่ออกคำสั่งจ่ายเงินตามคำสั่งของสำนักงาน สกสค.ผู้เสียหาย จำนวน 100 ล้านดอลล่าร์ สหรัฐ หรือประมาณ 3,200 ล้านบาท ยึดถือไว้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันตั๋วสัญญา ใช้เงินของบริษัทบิลเลี่ยนฯ ที่จำเลยนำมาหลอกลวงขายให้แก่ สกสค.โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนสนับสนุนพิเศษ และส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ สมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.)จนทำให้ สกสค.ได้รับความเสียหาย
คดีนี้ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มี.ค. 61 ให้ลงโทษจำคุกนายสัมฤทธิ์ จำเลย10 ปี ฐานใช้ตั๋วเงินปลอม ริบของกลาง ต่อมานายสัมฤทธิ์ยื่นอุทธรณ์สู้คดี อ้างว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้อง ขอให้ศาลยกฟ้องด้วย
วันนี้ศาลได้เบิกตัวนายสัมฤทธิ์ จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมาฟังคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยอ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลอมตั๋ว เงิน และได้ลาออกก่อนที่ ช.พ.ค. จะโอนเงินเข้าบัญชีบริษัท นั้น ข้อเท็จจริงปรากฏหลักฐานรับฟังได้ว่า เมื่อ ช.พ.ค. ได้มีการโอนเงินเข้ายังบัญชีบริษัทประมาณ 1,200 ล้านบาทแล้ว บริษัทได้มีการโอนเงินไปยังบัญชี จำเลยประมาณ 40 ล้านบาท และมีการถอนเงินจากบัญชีบริษัทอีกจำนวน 120 ล้านบาท ในช่วงเวลาที่จำเลยอ้างว่า ได้ลาออกจากบริษัทแล้ว เป็นการแสดงให้เห็นว่า มีการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยในลักษณะเร่งรีบ และในช่วงเวลาที่มีเงินเข้าบัญชีบริษัทเป็นจำนวนมาก
ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าจำเลยยังมีส่วนบริหารในบริษัทอยู่ มิฉะนั้นจะไม่มีการโอนเงินจำนวนมาก ขณะที่การทำหนังสือเพื่อยืนยันกับ ช.พ.ค. ก็มีจำเลยร่วมลงชื่อเป็นพยานและเป็นผู้ค้ำประกันด้วย ย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยยังทำหน้าที่เป็นกรรมการบริหารบริษัท เพราะหากจำเลยลาออกแล้วไม่มีเหตุผลที่บริษัทจะโอนเงินจำนวนมากขนาดนี้ให้
ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าการลาออกของจำเลยเป็นการสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาเท่านั้น แต่จำเลยคงทำหน้าที่อยู่เบื้องหลัง ที่จำเลยอ้างว่าไม่ได้ทำการอาวัลตั๋วและไม่ได้ร่วมปลอมกับใช้ตั๋วสัญญาที่ปลอมขึ้น และการกระทำต่างๆ ตามฟ้องนั้น ล้วนเป็นการกระทำขึ้นหลังจากที่จำเลยลาออก จึงฟังไม่ขึ้น พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ว่า จำเลยร่วมรู้เห็นกับบริษัทร่วมกันปลอมและใช้ตั๋วแลกเงินปลอม การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน จำเลย 10 ปี