สงครามการค้าที่ดูท่าทางจะยืดเยื้อและมีความรุนแรงขึ้นจากช่วงกลางปี 2561 ที่ผ่านมา โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 ในทันทีเมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาและในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้มีคำสั่งขึ้นบัญชีดำ 'หัวเว่ย' บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกสัญชาติจีน ทำให้ 'กูเกิล' ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันในเครื่องมือสื่อสารของหัวเว่ยนั้น ได้ออกมาแถลงการณ์ระงับการให้บริการในระบบแอนดรอยด์ของเครื่องมือสื่อสารของหัวเว่ยรุ่นใหม่
ท่าทีดังกล่าวส่งผลกระทบต่อวงการเทคโนโลยีของจีนเป็นอย่างมา แต่อย่างไรก็ตามจีนก็ได้ออกมาตอบโต้ถึงมาตรการดังกล่าวของกูเกิลและสหรัฐฯ โดยระบุว่า หัวเว่ยก็กำลังพัฒนา ระบบซอฟต์แวร์ในมือถือของตนเองและพร้อมจะให้บริการได้ภายในปีนี้
อย่างไรก็ตามสงครามการค้าในครั้งนี้ก็ที่มีท่าทีจะลุกลามไปทั่วโลกไม่เพียงแต่สหรัฐฯ เท่านั้น แต่ชาติพันธมิตรหลายชาติของสหรัฐฯ ก่อนมีความเคลื่อนไหวต่อหัวเว่ยก่อนหน้านี้ อาทิออสเตรเลีย นิวซีเเลนด์ และประเทศในภูมิภาคยุโรปหลายประเทศต่างก็มีคำสั่งหรือมาตรการระงับการใช้เครือข่าย 5G ของหัวเว่ย โดยอ้างเรื่องความมั่นคงของประเทศเป็นหลัก
สตีฟ แบนนอน อดีตผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ของทำเนียบข่าวกล่าวว่า "ประเด็นหัวเว่ยนั้นเป็นประเด็นเรื่องความมั่นคงของโลกตะวันตก หัวเว่ยถือเป็นภัยคุกคามหลักของชาติ ไม่เพียงแต่สหรัฐฯเท่านั้นแต่มันลามทั่วโลก ซึ่งสหรัฐฯต้องหยุดมัน"
ชาติพันธมิตรสหรัฐฯพร้อมใจแบนหัวเว่ย
บริษัทพานาโซนิคของญี่ปุ่นออกแถลงการณ์ในวันนี้(23 พ.ค.) ระบุว่า ทางบริษัทได้ระงับการทำธุรกิจกับ 'หัวเว่ย' หลังจากที่สหรัฐฯประกาศขึ้นบัญชีดำ 'หัวเว่ย' ซึ่งคำสั่งดังกล่าวของพานาโซนิคนั้นจะมีผลบังคับใช้ในทันทีตั้งแต่วานนี้(22 พ.ค.) โดยจะระงับการทำธุรกิจทุกภาคส่วนกับบริษัทเทคโนโลยีจากจีนรายนี้รวมไปถึงบริษัทในเครืออีกกว่า 69 แห่งที่ถูกสั่งห้ามโดยทางรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันพานาโซนิคเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ให้กับหัวเว่ย
นอกจากนี้ผู้จัดจำหน่่ายมือถือในญี่ปุ่นต่างก็มีกำหนดที่จะเลื่อนวางขายโทรศัพท์และอุปกรณ์สื่อสารต่างๆของหัวเว่ย รวมไปถึงอาจจะระงับการใช้เครือข่ายการสื่อสารคมนาคมในรูปแบบ 5G จากหัวเว่ยอีกด้วย ซึ่งนอกจากญี่ปุ่นแล้ว ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือของอังกฤษก็กล่าวว่า อาจจะระงับการใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยในส่วนประกอบหลักของโครงสร้างเครือข่ายการสื่อสารของตนเองเช่นกัน
ขณะที่บริษัทผลิตชิป ARM ของอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ให้แก่หัวเว่ยมีจดหมายถึงพนักงานในบริษัท ระบุว่า ทางบริษัทจะยกเลิกการทำธุรกิจกับหัวเว่ย และบริษัทจะผลิตและออกแบบชิปให้แก่เทคโนโลยีที่เป็นของสหรัฐฯเท่านั้น
ทั้งนี้นักวิเคราะห์มองว่า คำสั่งดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาชิป ARM ของบริษัทเอง ซึ่งปัจจุบันหัวเว่ยได้ใช้ชิปARM ในเครือข่ายระบบ5G รวมไปถึงอุปกรณ์สื่อสารและเซิร์ฟเวอร์ของหัวเว่ยด้วย
ทางด้านรัฐบาลจีนได้ออกนโยบายลดภาษีสำหรับบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีในการผลิต 'ชิป' ของจีน รวมไปถึงบริษัทผลิตซอฟต์แวร์ และบริษัทด้านเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อขจัดอุปสรรคทางการเงินต่อการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน โดยจะยกเว้นภาษีในช่วง 5 ปีต่อจากนี้
ทางด้านเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯและจีนเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้นั้นก็ได้มีความเคลื่อนไหว หลังจากการแบนหัวเว่ยของรัฐบาลสหรัฐฯ สื่อเกาหลีใต้รายงานว่าบริษัทเทคโนโลยีสื่อสาร telco LG Uplus ซึ่งปัจจุบันใช้อุปกรณ์สื่อสารของหัวเว่ยนั้นก็อาจจะยกเลิกการทำธุรกิจกับหัวเว่ยเช่นกัน โดยระบุว่า หัวเว่ยจะไม่ได้รับอนุญาตในส่วนของการบริการในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวต่อความมั่นคงในเกาหลีใต้
ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้กล่าวในแถลงการณ์ว่า เกาหลีใต้ตระหนักถึงความตึงเครียดและสถานการณ์ที่สหรัฐฯเผชิญ รวมไปถึงความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยของอุปกรณ์สื่อสารในระบบ 5G เช่นกัน
จีนปลุกพลังชาตินิยม การเดินทางไกลในโลกยุคใหม่
สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯได้สร้างผลกระทบไปทั่วโลก ขณะที่ทั่วโลกก็ต่างจับตามองการเคลื่อนไหวของจีนหลังจากที่สหรัฐฯมีคำสั่งขึ้นบัญชีดำบริษัทต่างๆของจีน รวมไปถึงการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกกว่า 25 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง กล่าวกับสื่อของทางการจีนว่า "สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯนั้นไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสียทีเดียว เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะทำให้จีนนั้นหันมาพึ่งพาตนเองมายิ่งขึ้น และเเข็งแกร่งในเวทีโลกมากขึ้น"
นอกจากนี้ในการให้สัมภาษณ์กับซินหัว ประธานาธิบดีจีนยังได้ขอร้องให้ประชาชนอดทนและเรียนรู้ถึงบทเรียนของความยากลำบากในอดีตที่ผ่านมา เนื่องจากทุกวันนี้จีนกำลังอยู่ในช่วงของการเดินทางไกลครั้งใหม่ เราต้องเอาชนะความเสี่ยงต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งจากภายในประเทศและจากต่างประเทศ
"ประเทศของเรายังอยู่ในช่วงเวลาที่มีกลยุทธ์สำคัญสำหรับในการพัฒนา แต่สถานการณ์ระหว่างประเทศก็มีความซับซ้อนมากขึ้น'" ประธานาธิบดีจีนกล่าว
ทางด้านนายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งหัวเว่ย กล่าวกับสื่อจีนมีใจความว่า สหรัฐฯนั้นกลัวการขึ้นมาเป็นผู้นำในระดับโลกของหัวเว่ย นักการเมืองสหรัฐฯประเมินความสามารถของพวกเราต่ำไป เรื่องดังกล่าวไม่เพียงแต่จะไม่ส่งผลสะเทือนถึงเราเท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถไล่ตามพวกเราทันได้ แม้ว่าจะในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้
นอกจากนี้นายเหริน จิ้งเฟยยังกล่าวว่า "ในทางปฏิบัติ เขาไม่สามารถที่จะบังคับให้ทุกคนใช้ผลิตภัณฑ์จากหัวเว่ยได้ เพราะหัวเว่ยคือธุรกิจในเชิงพาณิชย์ ใครชื่นชอบก็ใช้มัน ไม่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง"
สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ได้กลายมาเป็นสงครามเย็นในโลกสมัยใหม่ ที่ไม่ใช่สงครามระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ และ โลกเสรีประชาธิปไตยอีกต่อไป สงครามเย็นในศตวรรษที่ 21 นี้เป็นสมรภูมิของการทำสงครามที่ไม่เพียงแต่พุ่งรบกันด้วยตัวเลขดุลการค้าของสองชาติเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีในโลกสมัยใหม่ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการค้าและความมั่นคงในระดับชาติของประเทศมหาอำนาจทั้งสองอีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง