กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ยืนยันว่าพลตรีกัสซิม โซเลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังกุดส์ กองกำลังสำคัญของกองทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน เสียชีวิตแล้ว ซึ่งการแถลงข่าวของสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 4
สหรัฐฯ แถลงว่า พลตรีโซเลมานีเสียชีวิต ระหว่างที่เขานั่งรถยนต์มุ่งหน้าไปยังสนามบินแบกแดดของอิรัก หลังสหรัฐฯ โจมตีทางอากาศใส่ขบวนรถดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า “การโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อยับยั้งแผนการโจมตีในอนาคตของอิหร่าน สหรัฐฯ จะใช้ทุกมาตรการที่จำเป็น เพื่อปกป้องประชาชนและผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลก”
การโจมตีทางอากาศครั้งนี้มีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่มีผู้ประท้วงบุกโจมตีสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงแบกแดด ทำให้เกิดการปะทะกันกับกองกำลังของสหรัฐฯ ซึ่งกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ระบุว่า พลตรีโซเลมานีเป็นผู้รับรองแผนการโจมตีสถานทูตสหรัฐฯ
อยาตุลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านได้ประกาศให้มีการไว้อาลัยพลตรีโซเลมานีเป็นเวลา 3 วัน พร้อมระบุว่า การสังหารพลตรีโซเลมานียิ่งทำให้ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และอิสราเอลทวีขึ้น และการแก้แค้นอย่างสาสมรอ “อาชญากร” คนที่ฆ่าพลตรีโซเลมานีอยู่
ด้านนายจาวัด ซารีฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอิหร่านระบุว่า การสังหารพลตรีโซเลมานี “อันตรายมากและเป็นการยกระดับสถานการณ์ที่โง่เง่า”
พลตรีกัสซิม โซเลมานีคือใคร?
พลตรีกัสซิม โซเลมานีเป็นบุคคลสำคัญมากในรัฐบาลอิหร่าน และเขายังถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษของอิหร่านอีกด้วย นับตั้งแต่ปี 1998 พลตรีกัสซิม โซเลมานีขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการกองกำลังกุดส์ กองกำลังสำคัญของกองทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน ซึ่งรับผิดชอบปฏิบัติการลับในต่างประเทศ โดยกองกำลังกุดส์ของเขาขึ้นตรงกับอยาตุลเลาะห์คาเมเนอี
พลตรีโซเลมานีมีบทบาทสำคัญในการวางแผนทางการทหารทั่วตะวันออกกลาง อิหร่านได้เปิดเผยว่า กองกำลังกุดส์มีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำกองกำลังที่จงรักภักดีกับบาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดีซีเรียที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน รวมถึงกองกำลังติดอาวุธมุสลิมชีอะห์หลายพันคนในต่อสู้ขับไล่กลุ่มก่อการร้ายไอเอสในอิรัก
รัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาว่ากองกำลังกุดส์เป็น “กลไกพื้นฐานของอิหร่านในการฝึกฝนและสนับสนุน” กลุ่มก่อการร้ายทั่วตะวันออกกลาง เช่น กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน และกลุ่มญิฮาตอิสลามิกปาเลสไตน์ ด้วยการให้เงินทุน ช่วยฝึกกองกำลัง ให้อาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ
ที่มา : BBC, Al Jazeera, CNBC