ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานได้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา เห็นชอบให้เร่งนำผลดี-ผลเสียเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบให้ไทยยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (CPTPP) ภายในเดือน มี.ค.-เม.ย. 2563 เพื่อให้ไทยเข้าร่วมการประชุมความตกลงฯ เดือน ส.ค. ที่จะถึงนี้
นางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล รองประธานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) เตือนคณะรัฐมนตรีอย่าใช้ช่วงเวลาวิกฤติ COVID-19 เห็นชอบเข้าร่วมความตกลง CPTPP อย่างไม่รอบคอบตามข้อเสนอของรองนายกฯ สมคิด เพราะจะส่งผลกระทบต่อหลายมาตรการและนโยบายที่รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาวิกฤติสาธารณสุข ขณะนี้
อีกทั้ง จากวิกฤติโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ขณะนี้ทำให้เห็นว่า ภาครัฐจำเป็นจะต้องมีพื้นที่ในการกำหนดนโยบายมากพอในการแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งการจำกัดการเดินทาง การใช้จ่ายงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง และการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอมาตรการเสริมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ด้วยการให้หน่วยงานต่างๆ พิจารณาทบทวนการจัดหาครุภัณฑ์จากต่างประเทศมาดำเนินการจัดหาครุภัณฑ์จากผู้ผลิตภายในประเทศ เว้นแต่กรณีที่มีความจำเป็นอย่างแท้จริง
"กรณีอย่างนี้ หากประเทศไทยเข้าความตกลง CPTPP นโยบายหรือมาตรการที่ว่านี้จะออกไม่ได้ เพราะขัดกับความตกลง หากออกไปก็เสี่ยงที่จะถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนักลงทุนต่างประเทศได้ ไม่แน่ใจว่า เรื่องเช่นนี้ คณะรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาจะทราบหรือไม่ หากพิจารณาวาระนี้อย่างไม่รอบคอบ" น.ส.กรรณิการ์ กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 มี.ค. คณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล เป็นประธานได้เรียกหน่วยงานต่างๆ เข้ามาชี้แจงถึงข้อห่วงกังวลต่อการเข้าร่วม CPTPP ตัวแทนจากกรมบัญชีกลาง ซึ่งดูแลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้รายงานต่อคณะกรรมาธิการฯ ว่า กฎกระทรวงที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นพัสดุที่ภาครัฐไทยต้องการส่งเสริมสนับสนุน เช่น บัญชีนวัตกรรม การให้ความช่วยเหลือองค์การเภสัชกรรม ถ้าเป็นเรื่องทั่วไปต้องยกเลิกทั้งหมดเพราะขัดกับความตกลงฯ
"หากดูสาระของ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ.2560 เทียบกับบทที่ 15 ของ CPTPP ไม่ได้ขัดกัน แต่ขัดกันที่กฎหมายลูก ที่เป็นประกาศต่างๆ ที่ให้สิทธิพิเศษรัฐวิสาหกิจไทย ในกรณีขององค์การเภสัชกรรม บัญชีนวัตกรรมที่ขึ้นบัญชีให้ผู้ประกอบการที่เป็นคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทั้งยาและเครื่องมือแพทย์ ทั้งนี้ต้องมีการศึกษาเป็นรายบทของความตกลงฯ ว่าเรื่องใดบ้างจะได้เปรียบเสียบเปรียบ"
พร้อมกับเรียกว่า การเจรจาเพื่อเข้าร่วมต้องขอยกเว้นให้ได้ทั้งช่วงเวลาปรับตัว และวงเงินไม่น้อยกว่า มาเลเซียและเวียดนาม ซึ่งนโยบายของทางกระทรวงการคลังจะเจรจาเฉพาะที่เป็นผลประโยชน์กับไทยเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ไม่ใช้แค่ผู้ประกอบการไทยไม่พร้อม แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่ทำหน้าที่เจ้าหน้าที่พัสดุที่ต้องประสานกับผู้ประกอบการต่างชาติก็ไม่พร้อม
รองประธานเอฟทีเอ ว็อทช์ มองว่า การศึกษาของทางกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่ผ่านมาให้ความสำคัญกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐน้อยเกินไป และมักอ้างว่า จะไปเจรจาผ่อนผันทั้งช่วงเวลาและวงเงิน
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง ประเทศไทยเป็นประเทศที่ขอเข้าร่วมในภายหลัง โอกาสที่จะได้สิทธิเช่นมาเลเซียและเวียดนามนั้น ยากมาก อีกทั้งไทยก็ถูกจัดให้เป็นประเทศที่สถานะทางเศรษฐกิจดีกว่าเวียดนาม
"รองนายกฯ สมคิด ให้สัมภาษณ์ว่าจะไปต่อรองเช่นนั้นเช่นนี้ แต่ไม่เคยให้คำมั่นสัญญากับสังคมไทยว่า ถ้าเจรจาไม่ได้ในประเด็นที่อ่อนไหว จะไม่เข้าร่วม อีกทั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ไม่บังคับให้รัฐบาลต้องไปขออนุมัติกรอบเจรจาฯ ต่อรัฐสภา ทำให้สัญญาประชาคมที่รัฐบาลพึงมีต่อประชาชนไม่เกิด หากไปเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ แต่เพื่อประโยชน์ต่อการส่งออกของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ สังคมไทยก็อาจเห็นการใช้เสียงข้างมากของรัฐสภาลากให้เห็นชอบเข้าร่วมความตกลง CPTPP นี้อีกก็ได้"
ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่สาธารณชนต้องจับตา ขณะที่ทางกระทรวงต่างๆ ก็ควรศึกษาผลกระทบที่จะมีงานในกำกับอย่างรอบด้านเพื่อที่จะได้สามารถท้วงติงรองนายกฯ สมคิดเมื่อวาระนี้ เข้าสู่คณะรัฐมนตรี มิเช่นนั้น นี่อาจจะเป็นหนึ่งในผลงานที่ตัดแขนตัดขาการกำหนดนโยบายสาธารณะที่ส่งผลกระทบทางลบต่อสังคมไทยรุนแรงที่สุดผลงานหนึ่งของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :