เจ้าหน้าที่ตำรวจของรัฐนิวเซาท์เวลส์ประเทศออสเตรเลียเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่าผู้คนจำนวนหลายร้อยคนได้รวมตัวกันชุมนุมประท้วงรัฐบาลออสเตรเลียภายใต้ชื่อแคมเปญ 'Reclaim The Line' ที่บริเวณแม่น้ำพารามัตตาในวันที่ 7 พ.ย.เพื่อแสดงการต่อต้านคำสั่งบังคับให้ฉีดวัคซีนให้ประชาชนเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 โดยการประท้วงเกิดขึ้นอย่างสันติ

สิ่งที่ทำให้ประชาชนชาวออสเตรเลียทั้งในนครซิดนีย์และในอีกหลายรัฐทั่วประเทศที่ออกมาประท้วงพร้อมกันในวัน 6-7 พ.ย.ก็คือความพยายามของคณะรัฐบาลที่จะผ่านร่างกฎหมายเพื่ออนุญาตให้กฎข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 มีผลบังคับใช้ได้ต่อไป โดยยึดตามสถานการณ์ของการระบาดในระดับโลก แทนที่จะเป็นการยึดตามสถานการณ์ของการระบาดในท้องถิ่นของออสเตรเลียเท่านั้น

ประชาชนหลายคนมองว่าพวกเขากำลัง สูญเสียอำนาจอธิปไตยของตนเองไป และนี่คือสถานการณ์ที่กำลังทำให้ประชาธิปไตยของออสเตรเลียสั่นคลอน

แม้การเข้ารับการฉีดวัคซีนของประชาชนจะเป็นการฉีดวัคซีนด้วยความสมัครใจเท่านั้น แต่ข้อบังคับในแต่ละพื้นที่และรัฐของออสเตรเลียนั้นมีความแตกต่างกันออกไป โดยรัฐบาลท้องถิ่นของหลายรัฐมีการออกกฎบังคับให้บางสาขาอาชีพต้องเข้ารับการฉีดวัคซีน ขณะที่บางบริการหรือร้านอาหารบางแห่งก็มีการออกกฎไม่อนุญาตให้ประชาชนที่ไม่ได้รับวัคซีนเข้าใช้บริการโดยเด็ดขาดเพื่อป้องกันการระบาด

รับวัคซีนครบสองโดสแล้วเกิน 80%

7 พ.ย.รัฐนิวเซาท์เวลส์พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งสิ้น 244 คน โดยจากประชากรทั้งหมดราว 8.2 ล้านคนในรัฐมีผู้คนที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งโดสแล้ว 93.9% ขณะที่ประชากรที่ได้รับวัคซีนครบสองโดสคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 89.7% 

ขณะเดียวกัน อัตราการฉีดวัคซีนของทั้งประเทศก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยนายกรัฐมนตรีสก็อตต์ มอร์ริสัน ของออสเตรเลียประกาศว่า “นี่คือหมุดหมายสำคัญของประเทศ” เพราะในวันนี้ ออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากกว่า 25 ล้านคน ได้ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่อายุ 16 ปีขึ้นไปครบทั้งสองโดสแล้วเป็นสัดส่วนมากเกินกว่า 80% ทำให้ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุดในโลก