Bloomberg News รายงานเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (8 มี.ค.) ว่า แผนงบประมาณที่ถูกเสนอโดยไบเดน จะเก็บภาษีกำไรจากการลงทุนเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว จาก 20% เป็น 39.6% และยกระดับเงินที่นำส่งรัฐต่อบริษัท และมหาเศรษฐีอเมริกันที่ร่ำรวย
จากรายงานระบุว่า ไบเดนจะเปิดเผยแผนงบประมาณของเขาในวันพฤหัสบดีนี้ (9 มี.ค.) ท่ามกลางความแตกแยกอย่างรุนแรงระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตในเรื่องภาษี งบประมาณใช้จ่าย และการลดหนี้ ด้วยการเริ่มต้นการเจรจาระหว่างฝ่ายบริหารในทำเนียบขาว และฝ่ายนิติบัญญัติในรัฐสภาที่มีความเห็นแตกแยกกัน
แผนการใช้จ่ายดังกล่าวมีขึ้น ในขณะที่พรรครีพับลิกันและประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังติดอยู่ในความขัดแย้งเรื่องการเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งเป็นจำนวนเงินทั้งหมดที่รัฐบาลกลางได้รับอนุญาตให้กู้ยืม ท่ามกลางหนี้ของประเทศจำนวนกว่า 31 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1 พันล้านล้านบาท)
พรรครีพับลิกัน ซึ่งนำโดย เควิน แม็กคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้โต้แย้งว่า ทางการไม่ควรเพิ่มเพดานค่าใช้จ่าย โดยไม่ปรับลดค่าใช้จ่ายจำนวนมาก และเลิกเรียกร้องให้มีการขึ้นภาษี ในขณะที่ไบเดนกล่าวว่า แผนของเขาจะลดการขาดดุลของสหรัฐฯ กว่าเกือบ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 105 ล้านล้านบาท) ในระยะเวลา 10 ปี โดยเป็นผลส่วนใหญ่มาจากการขึ้นภาษี
ในระหว่างการแถลงนโยบายประจำปีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในรัฐสภาเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ไบเดนเรียกร้องให้รัฐสภาสนับสนุนการเก็บภาษีที่สูงขึ้นต่อมหาเศรษฐีที่ร่ำรวย และ “งานที่ให้ผลตอบแทน ไม่ใช่แค่ความมั่งคั่ง” อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนี้พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ในขณะที่พรรคเดโมแครตควบคุมเสียงข้างมากของวุฒิสภา
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันว่าการขึ้นภาษีที่เขาเสนอ จะส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยไบเดนบอกกับผู้ฟังปราศรัยในมลรัฐเวอร์จิเนียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ผู้ที่มีเงินเดือนต่อปีน้อยกว่า 400,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 14 ล้านบาท) “จะไม่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มแม้แต่เพนนีเดียว”
เมื่อปีที่แล้ว ไบเดนได้เสนอภาษีเงินได้ขั้นต่ำของมหาเศรษฐี เพื่อให้แน่ใจว่าครอบครัวที่มีรายได้มากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3,500 ล้านบาท) จะต้องจ่ายภาษีอย่างน้อย 20% ทั้งจากรายได้และกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการลงทุนที่ยังไม่ได้มีการซื้อขาย
ที่มา: