การออกมาให้ความเห็นของผู้อำนวยการ WHO ในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่สื่อมวลชนบางสำนักรายงานว่า ทางการจีนเริ่มถอนตัวเองออกจากการบังคับใช้นโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” ที่มีอยู่อย่างเข้มงวด นับตั้งแต่การระบาดโควิด-19 เริ่มอุบัติขึ้นในเมืองอู่ฮั่นของจีน และทางการจีนได้เริ่มอนุญาตให้ประชาชนอยู่อาศัยร่วมกันเชื้อไวรัส อย่างเช่นนโยบายที่ประเทศอื่นๆ ได้หันมาใช้กันแล้วตลอดช่วงปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ยังคงมีความกังวลว่า จีนยังคงอ่อนไหวต่อการระบาดในระลอกต่อไป ที่อาจมีตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากการฉีดวัคซีนที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะยังผลกระทบมายังเศรษฐกิจของประเทศ ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก
คณะผู้บริหารระดับสูงของ WHO จะมีการนัดหารือกันในทุกๆ 2-3 เดือน เพื่อตัดสินใจในทางนโยบายเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 ซึ่งแพร่ระบาดมายาวนานกว่า 3 ปี และคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 6.6 ล้านรายทั่วโลก อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนี้โควิด-19 ยังคงจัดให้เป็นโรคระบาดระดับ “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่เป็นข้อกังวลระหว่างประเทศ” (PHEIC)
การจัดประเภทให้โควิด-19 เป็น PHEIC มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นการตอบสนองผ่านการประสานงานกันระหว่างประเทศ และสามารถปลดล็อกเงินทุนเพื่อร่วมมือในการแบ่งปันวัคซีนและการรักษาโรคอุบัติใหม่ดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการยุติสถานะ PHEIC โดย มาเรีย ฟาน แคร์คอฟ นักระบาดวิทยาอาวุโสของ WHO กล่าวว่า “ยังมีภาระงานต้องทำอีกมาก” ก่อนที่จะมีการยกเลิกสถานะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโควิด-19 ในขณะที่ ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายเหตุฉุกเฉินของ WHO กล่าวเกี่ยวกับประเด็นเดียวกันนี้ว่า “หากมีประชากรจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน โลกก็ยังมีภาระงานอีกมากที่ต้องทำ”
ไรอันยังแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศจีนเมื่อเร็วๆ นี้ที่พุ่งสูงขึ้น โดยเขากล่าวว่าการระบาดระลอกล่าสุดของจีน ไม่ได้เกิดจากการผ่อนคลายนโยบายเข้มงวดของรัฐบาลอย่างกะทันหัน พร้อมกล่าวเสริมว่าไวรัสที่กำลังแพร่กระจาย “อย่างหนาแน่น” ในจีนมานาน เกิดก่อนที่จะมีการยกเลิกข้อจำกัดต่างๆ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้
ที่มา: