วันที่ 24 เม.ย. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงแนวโน้มการเป็นตัวกลางในการเจรจากับทุกฝ่ายในเมียนมาว่า ไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมา และสมาชิกของอาเซียน รวมถึงเป็นประเทศที่มีความสนิทสนมกับประเทศลาวที่เป็นประธานอาเซียน เราได้สนับสนุนในทุกข้อริเริ่ม
นอกจากนี้ ไทยยังได้เสนอให้มีการประชุม ASEAN Troika และ ASEAN Troika Plus เพื่อแสวงหาสันติภาพในเมียนมา โดยได้ส่งหนังสือเวียนไปทุกประเทศแล้ว โดยเฉพาะลาวซึ่งเป็นประธานอาเซียนในปัจจุบัน ส่วนการประชุมจะจัดที่ไหนนั้นยังไม่มีข้อสรุป แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า อาจจะเกิดที่ประเทศไทย และหากมีการนัดหมายประชุมจะรีบแจ้งให้ทราบ พร้อมย้ำว่า ไทยพร้อมเป็น 1 ในผู้ที่จะทำให้เกิดการเจรจาในเมียนมา แต่เบื้องต้นยังไม่ได้รับการติดต่อทั้งจากฝ่ายรัฐบาลทหารเมียนมา และฝ่ายต่อต้าน
สำหรับจุดยืนของไทยตามที่ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรีระบุว่า ไทยพร้อมเป็น Active Promoter of Peace and Common Prosperity หรือผู้ส่งเสริมสันติภาพ และความมั่งคั่งร่วมกันนั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ อธิบายขยายความว่า ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในเมียนมานั้นกระทบกับทุกคน โดยเฉพาะประเทศไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกันกว่า 2,000 กม.
นิกรเดช กล่าวต่อไปว่า ไม่ใช่แต่เฉพาะกับเรื่องเมียนมาเท่านั้น แต่ไทยเป็น Advocate for Peace หรือผู้สนับสนุนสันติภาพ ดังนั้นย่อมเป็นเรื่องปกติมาก เมื่อเรื่องเกิดขึ้นประชิดชายแดนเพื่อนบ้าน และเรายังเป็นประเทศที่ต้องการนำสันติสุขมาสู่ความขัดแย้ง ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านกรณีที่ไทยแสดงความพร้อมในการเข้าไปช่วยให้เกิดการเจรจาระหว่างฝ่ายต่างๆ
ส่วนแนวโน้มที่ด่านพรมแดนแม่สอด สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา 2 จะเปิดนั้น นิกรเดช กล่าวว่า ตอนนี้ขึ้นอยู่กับฝั่งเมียนมาว่า เจรจากันไปถึงไหน และทราบว่า ทุกฝ่ายในเมียนมาก็เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเปิดช่องทางการเดินทาง เพราะสะพานมิตรภาพ 2 เป็นช่องทางการค้าชายแดนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง ดังนั้นการปิดก็เป็นไปเพราะมีความเสี่ยง และทางเจ้าหน้าที่ฝั่งเมียนมาไม่สามารถมาปฎิบัติหน้าที่ได้
“เชื่อว่าสะพานมิตรภาพ 2 น่าจะเปิดได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งเมื่อวานนี้ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้หารือกับสภาหอการค้าและภาคเอกชน ซึ่งทุกฝ่ายก็มีความประสงค์เดียวกันว่า อยากจะให้การค้าชายแดนกลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็ว” นิกรเดช กล่าว
ส่วนกรณีที่ทหารเมียนมากำลังปฏิบัติการยึดคืนพื้นที่เมียวดีนั้น นิกรเดช ระบุว่า ทางการไทยติดตามข่าวตลอด ไม่ใช่แค่เฉพาะพื้นที่ชายแดน และกรุงเทพฯ เรามีสถานทูตเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง เพื่อติดตามข้อมูลอยู่ตลอดเวลาว่า มีความเคลื่อนไหวอย่างไร ซึ่งสถานการณ์ค่อนข้างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
“ผมย้ำอยู่เสมอว่า เราติดตามกันรายชั่วโมง หรือรายวันสำหรับความเคลื่อนไหวของฝ่ายกองทัพเมียนมา ขณะเดียวกันก็มีความเคลื่อนไหวในฝ่ายต่อต้านด้วย ผมจึงไม่สามารถให้ข้อมูลที่ชัดเจนได้ เพราะตัวผมเองก็ได้รับรายงานที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา” นิกรเดช กล่าว
นิกรเดช กล่าวทิ้งท้ายว่า ในส่วนของฝ่ายไทย ยังไม่ได้รับการติดต่อเพื่อให้เข้ามาดำเนินการเป็นตัวกลาง แต่เชื่อว่า จะมีการเริ่มเจรจากันภายในกลุ่มของเมียนมา
นิกรเดช กล่าวถึงการลงพื้นที่ตามแนวชายแดนตลาดริมเมย สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 อ.แม่สอด จ.ตาก ของปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
โดย นิกรเดช กล่าวว่า ตามที่ได้รับรายงานมานั้น ตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย. ไม่มีการสู้รบในบริเวณสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 โดยผู้หนีภัยความไม่สงบที่มาอยู่ในฝั่งไทยสูงสุดคือ 3,000 กว่าคน แต่จนถึงตอนนี้ได้เดินทางกลับไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ โดยจำนวนที่ยังอยู่ในไทยตอนนี้ประมาณ 650 คน และคาดว่า มีแนวโน้มที่ผู้หนีภัยจะเดินทางกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
นิกรเดช กล่าวต่อว่า กองกำลังนเรศวร โดยหน่วยเฉพาะกิจราชมนู ซึ่งประจำการอยู่ในพื้นที่ก็มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา หากมีความจำเป็นก็พร้อมจะเพิ่มกำลัง ทั้งนี้การดำเนินการดูแลผู้หนีภัยความไม่สงบนั้น ขอย้ำว่า เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม โดยเมื่อมีคนเดินทางเข้ามาก็จะมีพื้นที่แรกรับเพื่อแยกแยะว่าคนกลุ่มใดเพื่อเก็บข้อมูล
ถัดมาคือนำคนเหล่านั้นไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวก่อนที่จะไปยังพื้นที่พักรอ ซึ่งตอนนี้ทางการไทยมีพื้นที่พักรอเกิน 50 จุด และทางกาชาดได้ตั้งศูนย์รับบริจาคสิ่งของจากเอกชน และองค์กรภาคประชาสังคม รวมถึงองค์กรอื่นๆ ตลอดจนคนไทยในพื้นที่ด้วย
สำหรับการค้าชายแดน นิกรเดช ระบุว่า ได้รับผลกระทบพอประมาณตั้งแต่เดือนมกรา-มีนาคม พบว่า ปริมาณการค้าในชายแดนลดลงประมาณไม่เกิน 20% แต่สิ่งที่สำคัญมากที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว้าการกระทรวงการต่างประเทศได้ลงพื้นที่คือ เรื่องขวัญกำลังใจของประชาชน ซึ่งท่านต้องการให้ประชาชนตามแนวชายแดนความสบายใจ และมีความมั่นใจในมาตรการที่รัฐบาลเริ่มดำเนินการอยู่
นิกรเดช กล่าวต่อไปว่า ขวัญ และกำลังใจของประชาชนในตามแนวชายแดนยังมีมาก ซึ่งประชาชนในพื้นที่ทราบดีว่า สามารถขอย้ายไปยังพื้นที่ที่มีความปลอดภัยได้ หากมีความจำเป็น รวมถึงกองกำลังนเรศวรยังมีชุดทหารเดินสายให้ความรู้ และให้ความมั่นใจแก่ประชาชนเพื่อประเมินถึงความเสี่ยงหรือไม่ในพื้นที่ ซึ่งสามารถลดกระแสความกังวลของประชาชนได้มาก
นิกรเดช ย้ำว่า สถานการณ์ปัจจุบันตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานมานั้นพบว่า สถานการณ์ดีขึ้นค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ดี ฝ่ายไทยก็ยังคงติดตามสถานการณ์ และเรายังคงประเมินว่า สถานการณ์มีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งอาจเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
“หน่วยงานต่างๆ ของไทยมีแผนที่จะรองรับสถานการณ์ ขอให้ประชาชนในพื้นที่มีความสบายใจ และไว้วางใจได้ว่า หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะดูแลความปลอดภัยของประชาชนเป็นลำดับแรก“ นิกรเดช กล่าวทิ้งท้าย