วันที่ 21 เม.ย. 2564 วรรณวรี ตะล่อมสิน ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ระบุถึงกรณีภาคเอกชนกว่า 40 องค์กรเสนอไปยังรัฐบาลถึงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ล่าช้าว่า ประเทศไทยไม่ได้มีแต่เจ้าสัวที่พูดแล้วทำทันที แต่ให้ช่วยฟังเสียงธุรกิจรากหญ้าและ SMEs ที่ส่งเสียงมาตั้งนานแล้วด้วย การที่ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัวซีพี หรือกลุ่ม CEO บริษัทชั้นนำออกมาพูดเรื่องวัคซีนล่าช้า คงสะท้อนให้เห็นกันแล้วว่าวิกฤตครั้งนี้ คนเดือดร้อนไม่ใช่แค่คนรากหญ้า แต่ผลกระทบได้ขึ้นไปถึงคนระดับกลางและระดับบนด้วย แต่ก็รู้สึกน้อยใจอยู่นิดๆ ที่รัฐบาลออกมาขานรับในการจัดหาวัคซีน Pfizer เพิ่มทันทีเมื่อมีเสียงจากคนระดับบนเคลื่อนไหว ขณะที่เสียงจากคนเล็กคนน้อยและเศรษฐกิจรากหญ้าที่เดือดร้อนสะท้อนมาตั้งนานแล้วกลับไม่ค่อยได้รับความสนใจ”
วรรณวรี กล่าวต่อไปว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการที่รัฐบาลควบคุมโควิดไม่อยู่จนเกิดการระบาดระลอก 3 จากธุรกิจที่คิดว่าจะดีขึ้นในปีนี้จึงกลับแย่ลงไปอีก ทุกวันนี้หากเดินไปตามห้าง ตลาดสด ตลาดนัด ย่านการค้าต่างๆ สิ่งที่เห็นคือการค้าขายเงียบมาก เพราะกลุ่มคนที่เคยมีกำลังซื้อ เริ่มกลัวการออกมาจับจ่าย และเริ่มระวังการใช้เงินมากกว่าแต่ก่อน เนื่องจากไม่แน่ใจว่าสถานการณ์โควิดจะแย่ต่อเนื่องไปอีกนานเท่าไหร่ จึงต้องเก็บเงินไว้ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น
“มาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ออกมาเพิ่มเติมถือว่าดีขึ้น แต่ก็ยังกังวลว่าการขยายวงเงินสินเชื่อนั้นจะไม่กระจายไปถึงผู้กู้รายใหม่และคนที่เดือดร้อนย่างแท้จริง สำหรับมาตรการ Softloan รัฐบาลทำให้เห็นชัดมากว่ากระบวนการช่วยเหลือล่าช้าและไม่ทันการ SMEs ในรอบปีที่ผ่านมาจึงมีหลายกิจการล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก พูดง่ายๆก็คือตายไปตั้งแต่ระลอก1-2 แล้ว ถึงแม้รัฐบาลจะมีการออก พ.ร.ก. Softloan ฉบับใหม่ออกมา มีการปรับปรุงเนื้อหาเพิ่มวงเงินสินเชื่อ และให้มีการปล่อยกู้รายใหม่ตามที่พรรคก้าวไกลเสนอซึ่งเสนอมาแล้วเกือบปี แต่ในขั้นตอนการปฏิบัติยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ธนาคารยังอยากปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหญ่มากกว่าอยู่ ส่วนรัฐก็ยังไม่สามารถขอความร่วมมือจากธนาคารได้ ขณะที่ธนาคารรัฐเองอย่าง SME Bank ที่ควรเป็นความหวังของSMEs ก็ไม่มีกำลังพอที่จะประคองหรือเป็นความหวังให้ SMEs ได้เลย”
วรรณวรี ระบุต่อไปว่า มาตรการโครงการ ‘พักทรัพย์ พักหนี้’ เอาเข้าจริง คนที่ได้ประโยชน์คือภาคธุรกิจอสังหาริมทรัยพ์ โรงแรม หรือผู้ประกอบการที่มีสินทรัพย์ไปค้ำ แต่คนค้าขายทั่วไป เช่น พ่อค้าแม่ค้าขายของในห้าง เขาจะเอาทรัพย์สินอะไรไปค้ำ มาตรการช่วยเหลือจึงยังตกหล่นบุคคลเหล่านี้
“แต่สิ่งสำคัญที่สุดคืออยากให้รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีออกมาบอกให้ชัดเจนว่าวัคซีนจะกระจายถึงมือคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศเมื่อไหร่ เพื่อให้คนทำธุรกิจวางแผนได้ถูกต้อง สำหรับภาคธุรกิจ ตอนนี้เราคิดว่ามาตรการช่วยเหลือเยียวยาเป็นเรื่องรอง แต่เราอยากเห็นความชัดเจนจากรัฐบาลเพื่อให้เราสามารถรู้ได้ว่าจะกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติเมื่อไหร่ จะอีก 3 เดือน 6 เดือน หรือปีหน้า เรื่องเหล่านี้มีผลต่อหารวางแผนธุรกิจทั้งสิ้น จะได้ประเมินว่าต้องมีกระแสเงินสดในมือเท่าไหร่เพื่อพยุงธุรกิจ ต้องจัดการสต็อกสินค้าในช่วงนี้อย่างไร หรือต้องปิดกิจการไปก่อนแล้วไปรอเปิดใหม่อีกที ตอนนี้ความหวังของทุกคนจึงอยู่ที่วัคซีน แต่สิ่งที่ดิฉันและคนไทยหลายคนไม่อยากเห็น คือเรากำลังจะมีรัฐบาลที่จัดการวัคซีนได้แย่ที่สุดประเทศหนึ่งของโลก” วรรณวรี กล่าว