นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุถึงกรณีมีชื่อของตนเองร่วมตั้งพรรคการเมืองใหม่ว่า การที่นักการเมืองของพรรคเพื่อไทยไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ทั้งที่ตั้งไปแล้วและที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกจะเกิดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม แต่เท่าที่ทราบ ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งภายในพรรคอย่างที่เป็นข่าว ความขัดแย้งแตกต่างในพรรคการเมืองทุกพรรคย่อมมีอยู่เป็นธรรมดาไม่เว้นพรรคเพื่อไทย แต่ความขัดแย้งแตกต่างทางความคิดไม่ได้เป็นสาเหตุถึงขั้นที่จะทำให้ถึงขั้นจะอยู่ร่วมพรรคกันไม่ได้และถ้ามีการหารือเคารพความเห็นที่แตกต่างกันตามสมควร ทำงานอย่างเป็นประชาธิปไตย ความขัดแย้งแตกต่างๆทางความคิดก็จะไม่เป็นปัญหาใหญ่โตอะไร
พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่ถูกกระทำมากที่สุดจากระบบและกติกาภายใต้ยุทธศาสตร์ “การรัฐประหารครั้งนี้ต้องไม่เสียของ” และ “คสช.ต้องสืบทอดอำนาจยาวนาน” ยุทธศาสตร์เหล่านี้มุ่งขัดขวางสกัดกั้นไม่ให้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลและทำให้พรรคเพื่อไทยต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ 2 ประการคือ
1.ความเสี่ยงที่จะถูกยุบพรรคเรื่องนี้พรรคเพื่อไทยทั้งๆที่จนถึงขณะนี้ไม่มีข้อเท็จจริงหรือปัญหาทางกฎหมายใดๆที่จะใช้ยุบพรรคเพื่อไทยได้เลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าในอดีตที่ผ่านมาการยุบพรรคการเมืองบางพรรคก็เกิดขึ้นทั้งๆที่ไมได้ทำผิดอะไร เมื่อมีข่าวว่ามีความพยายามที่จะยุบหรือมีการสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหาทางยุบพรรคเพื่อไทย หลายคนก็ยังมั่นใจว่าไม่มีทางถูกยุบ แต่ก็มีนักการเมืองจำนวนไม่น้อยเห็นว่าไม่มีหลักประกันใดๆว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ถูกยุบ ควรเตรียมทางหนีทีไล่ไว้โดยไม่ประมาท
2.ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่นี้ถูกออกแบบเพื่อทำให้พรรคการเมืองทั้งหมดอ่อนแอ พรรคเล็กๆเสียเปรียบ พรรคขนาดกลางๆได้ประโยชน์ แต่หาทางป้องกันไม่ให้พรรคขนาดใหญ่ได้เสียงมากอย่างที่เคยได้ พรรคที่ได้เสียงจากเขตเลือกตั้งเกินครึ่งซึ่งปกติต้องถือว่าชนะท่วมท้นกลับมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นพรรคเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฏร พรรคใดยิ่งได้ส.ส.เขตมากก็ยิ่งมีโอกาสได้ส.ส.บัญชีรายชื่อน้อยหรือไม่ได้เลย พรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากระบบเลือกตั้งที่แปลกประหลาดนี้มากที่สุด
เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ที่นักการเมืองพรรคเพื่อไทยจะหาทางป้องกันไม่ให้ถูกกระทำหรือพยายามลดความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะการแสวงหาช่องทางที่นักการเมืองแต่ละคนจะสามารถทำงานในระบบรัฐสภาได้ต่อไป ส่วนสาเหตุที่การดำเนินการต่างๆดูจะเป็นไปอย่างสับสนก็น่าจะมาจากสภาพต่างคนต่างทำการขาดการหารือวางแผนร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ
"สภาพการณ์เช่นนี้ทำให้นักการเมืองทุกคนในพรรคเพื่อไทยไม่อาจหลีกเลี่ยงการคิดรับมือกับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นและในที่สุดแต่ละคนก็ต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง สำหรับผม ต้องยอมรับว่ามีความผูกพันกับพรรคเพื่อไทยอย่างมาก เมื่อถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องตัดสินใจ ผมก็จะพิจารณาว่าทางเลือกใดจะเป็นช่องทางในการทำงานตามแนวคิดอุดมการณ์ได้มากที่สุด"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 7 พ.ย.นี้ พรรคไทยรักษาชาติ จะมีการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคครั้งที่ 1/2561 ที่โรงแรมรามาการ์เด้น โดยมีวาระแก้ไขข้อบังคับพรรค การเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคทั้งคณะ และเลือกตั้งคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. โดยล่าสุดนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล อดีต ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทยจะเข้าร่วมสังกัดพรรคไทยรักษาชาติ ขณะเดียวกันมีรายงานจะมีคนรุ่นใหม่ไปร่วมงานกับพรรคไทยรักษาชาติ โดยปรากฎชื่อ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช อดีต ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย รวมทั้งยังมีแกนนำพรรคเพื่อไทยบางส่วนอยู่ระหว่างการตัดสินใจจะร่วมสังกัดพรรคไทยรักษาชาติด้วย