วานนี้ (20 มิ.ย.) ได้มีพิธีร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่าง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดย นพ.ประจักษวิช เล็บนาค รองเลขาธิการ สปสช. เพื่อจัดทำฐานข้อมูลของพระภิกษุและสามเณร ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พร้อมถวายคู่มือการใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แด่พระเดชพระคุณฯ พระพรหมวชิรญาณ เพื่อส่งมอบแด่พระสงฆ์ต่อไป
โดย นพ.ประจักษวิช กล่าวว่า จากการประกาศธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติในปี 2560 นอกจากก่อให้เกิดความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อเพื่อขับเคลื่อนการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ที่เป็นองค์รวมแล้ว ได้นำมาสู่การพัฒนาระบบรองรับเพื่อให้พระสงฆ์เข้าถึงบริการสาธารณสุขและการรักษาในยามจำเป็นภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมี สปสช.ทำหน้าที่บริหารจัดการระบบ
การลงนามบันทึกความร่วมมือเพื่อจัดทำฐานข้อมูลของพระภิกษุและสามเณรในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในครั้งนี้ เป็นผลของการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องร่วมกัน ระหว่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและ สปสช. นำไปสู่การพัฒนารูปแบบการจัดทำฐานข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลพระภิกษุและสามเณรที่มีประสิทธิภาพ
โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาจะทำหน้าที่ประสานและอำนวยความสะดวกในการปรับปรุงฐานข้อมูลพระภิกษุและสามเณรให้เป็นปัจจุบัน เพื่อเป็นฐานข้อมูลใช้ร่วมกันในส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐอื่นที่เชื่อมโยงข้อมูลตามระเบียบ สำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการคุ้มครองและจัดการข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร พ.ศ. 2561 รวมถึงเป็นนายทะเบียนฐานข้อมูลพระภิกษุและสามเณร
ซึ่งหลังจากนี้ สปสช.จะได้ประสานและเชื่อมโยงฐานข้อมูลพระภิกษุและสามเณรกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นำไปสู่การปรับปรุงสิทธิการเข้ารับบริการสาธารณสุขของพระภิกษุและสามเณรให้เป็นไปด้วยความถูกต้องตามกฎหมายและมีประสิทธิภาพตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยใช้ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร์ตามระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการคุ้มครองและจัดการข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร พ.ศ. 2561 พร้อมร่วมมือสร้างเครือข่ายให้ครอบคลุมพื้นที่บริการของหน่วยบริการประจำพระภิกษุและสามเณร ภายหลังจากการเชื่อมโยงข้อมูลและปรับปรุงฐานข้อมูลทะเบียนวัดเสร็จสมบูรณ์
ความร่วมมือในการจัดทำฐานข้อมูลพระภิกษุสงฆ์และสามเณรในวันนี้ นับเป็นความร่วมมืออันดีระหว่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ สปสช. และเป็นก้าวสำคัญของทั้ง 2 องค์กร เพราะจะเป็นส่วนสำคัญเพื่อร่วมสนับสนุนบทบาทและภารกิจหลักของทั้ง 2 องค์กรให้บรรลุเป้าหมาย