การชูนิ้วกลางเป็นหนึ่งในวิธีการดูหมิ่นเหยียดหยามที่พบมากในสหรัฐฯ แต่ขณะเดียวกันบางคนกลับยอมรับให้เป็นสัญลักษณ์ของการยกย่องเชิดชู และใช้กล่าวทักทายกันยามเช้าเสมอ แต่จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของบริสค์แมนครั้งนั้นนับเป็นความภาคภูมิใจที่สุดของเธอ และหากสบโอกาสอีกครั้งเธอก็คงไม่ลังเลที่จะควักนิ้วกลางออกมาอวยพรให้ทรัมป์แน่นอน
แม้ประวัติศาสตร์การชูนิ้วกลางจะไม่ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรม แต่ ‘เบนจามิน เบอร์เกน’ ผู้อำนวยการของห้องปฏิบัติการทางภาษาและการรับรู้ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก อธิบายไว้ว่า
“การชูนิ้วกลางใส่คนอื่นมีมานานมากแล้ว และไม่ใช่แค่หลายศตวรรษ แต่นับเป็นพันปี ย้อนกลับไปอย่างน้อยที่สุดก็คงสมัยกรีก"
การชูนิ้วกลางเริ่มปรากฏให้เห็นในการแสดงละครเวทียุคกรีก ซึ่งนำมาใช้เลียนแบบการแกว่งอวัยวะเพศชาย แถมยังมีบันทึกไว้อีกด้วยว่า การทะเลาะกันในวุฒิสภาโรมันก็มีการควักนิ้วกลางขึ้นมาชูใส่กันด้วย จนถูกเปรียบเป็นการชูนิ้วมือเชิงลามกอนาจาร และมีชื่อเรียกในสมัยโรมันว่า ‘ดิกิทุส อิมพูดุส (Digitus Impudicus)’ ซึ่งถูกใช้สืบต่อกันมาอีกหลายพันปี
นอกจากนั้น เดสมอนด์ มอร์ริส นักมานุษยวิทยา และผู้เขียนหนังสือลิงเปลือย (The Naked Ape) เคยบอกกับบีบีซีว่า การชูนิ้วกลางเป็นการสื่อถึง ‘ลึงค์’ และการม้วนตัวลงของนิ้วอื่น ๆ หมายถึง ‘อัณฑะ’ ส่วนใหญ่จะใช้เมื่อต้องการกล่าวผรุสวาทต่อหน้าใครบางคนแต่ยังไม่สามารถทำได้
การบันทึกประวัติศาสตร์การชูนิ้วกลางช่วงแรกยังอ้างด้วยว่า การชูนิ้วกลางมีอยู่ในละครตลกขบขันเรื่อง The Clouds ของอริสโตฟานเนส นักเขียนบทละครสุขนาฏกรรมสมัยกรีก ซึ่งเขียนเมื่อ 424 ปีก่อนคริสกาล โดยมีการแสดงสัญลักษณ์นิ้วกลางอันเป็นตัวแทนของอวัยวะเพศที่กำลังแข็งตัวให้โสคราตีส และประมาณอีกหนึ่งร้อยปีให้หลังก็พบการชูนิ้วกลางปรากฏในหนังสือ Lives of Eminent Philosopher ซึ่งมีนักปรัชญาคนหนึ่งถูกชูนิ้วกลางใส่หน้าเช่นกัน
ต่อมาหลังอำนาจย้ายจากกรีกโบราณไปยังอาณาจักรโรมัน การชูนิ้วกลางยังคงห้อยตามไปติด ๆ เห็นได้จากงานเขียนประเภทกลอน และบทละครหลายชิ้น ตลอดจนตำนานเรื่องหนึ่งที่เล่าว่า คาลิกูลา จักรพรรดิโรมองค์ที่ 3 ชอบให้ประชาชนของเขาจูบที่นิ้วกลางของตัวเอง และเขาจะแกว่งมันอย่างมีนัยนะ แทนที่จะจูบฝ่ามือ ซึ่งนั่นก็หมายถึงการใช้นิ้วกลางเป็นสัญลักษณ์แทนอวัยวะเพศเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ครั้งหนึ่งการชูนิ้วกลางเคยเลือนหายไปในช่วงยุคกลาง เพราะเวลานั้นผู้ดีเคร่งศีลธรรมที่นับถือคริสตจักรโรมันคาทอลิกกำลังทรงอิทธิพล และพวกเขาปฏิเสธการกระทำที่เป็นการชี้นำทางเพศ แต่ในปี 2008 มีเอกสาร The Middle Finger and the Law ของนักกฎหมาย อิรา พี. รอบบินส์ เขียนไว้ว่า การชูนิ้วกลางเป็นสัญลักษณ์ที่กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในปี 1886 เพราะนักเบสบอลชื่อ ชาร์ล แรดบร์น ชูนิ้วกลางให้กับกล้องในการถ่ายภาพร่วมกันของทีม
ต้องยอมรับว่า อิทธิพลของวัฒนธรรมอเมริกันแพร่กระจายไปทั่วโลก ทำให้การชูนิ้วกลางกลายเป็นสัญลักษณ์สากลมากขึ้น ซึ่งถูกนำเสนอผ่านความบันเทิง และสื่อ ทำให้หลาย ๆ ประเทศเริ่มรู้จักการใช้นิ้วกลางกันมากขึ้น แต่คงไม่มีเหตุผลที่คุณจะไปชูนิ้วกลางในต่างประเทศ เพราะหนึ่งคุณอาจจะดูเป็นคนไร้มารยาททันที และสองพวกเขาอาจรู้ความหมาย
“เมื่อประมาณ 20 ปีก่อนเห็นจะได้ การแสดงนิ้วกลางไม่ได้มีความหมายใด ๆ ในประเทศญี่ปุ่น และเกาหลี จนกระทั่งเริ่มมีภาพยนตร์ และรายการทีวีเป็นที่รู้จักมากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันทุกคนในญี่ปุ่นก็รู้จักความหมายของมันขึ้นมาทันที ด้านคนบราซิลมีท่าทางแสดงความหยาบคายที่คล้าย ๆ กับการทำท่า ‘โอเค’ กลับหัว และมันหมายถึง ‘รูก้น’ ซึ่งมีความหมายแบบเดียวกับการแสดงนิ้วกลาง มันอาจจะหมายถึง ‘ไอ้เหี้- (f*** you)’ หรือ ‘ไปตายซะ’ อะไรทำนองนั้น” เบอร์เกนกล่าว
ถึงแม้การชูนิ้วกลางจะเป็นสัญลักษณ์แทนคำด่าในด้านลบ แต่ครั้งหนึ่งมันเคยถูกบรรจุเป็นอีโมจิสุดน่ารักในระบบปฏิบัติการ iOS 8 ของค่ายแอปเปิ้ล และได้รับการส่งติดอันดับต้น ๆ สะท้อนให้เห็นการแสดงออกด้วยท่าทางต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เพราะเมื่อก่อนมนุษย์ใช้ท่าทางสื่อสารกันก่อนการใช้พูดภาษา
“สัญลักษณ์ท่าทางต่าง ๆ มันเป็นเหมือนต้นแบบของภาษาที่ใช้พัฒนา และบอกเล่าประวัติศาสตร์ของสปีชีส์มนุษย์ เพราะท่าทางมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับอารมณ์ เมื่อคุณต้องเผชิญหน้าโดยตรงกับใครสักคน คุณจะทำท่าทางเพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป หรือแสดงถึงสิ่งที่คุณอยากจะบอกคนคนนั้น” เบอร์เกนกล่าว
ที่มา: VICE